08 กรกฎาคม 2552

การช่วยเหลือ แบ่งปัน

แบบทดสอบก่อนและหลังการพัฒนาโดยใช้ชุดฝึกกิจกรรมสร้างสรรค์

หัวข้อ การช่วยเหลือ แบ่งปัน

คำชี้แจง ให้นักเรียนวงกลมข้อที่ถูกที่สุด

1. จากภาพข้อใดเป็นการแบ่งของใช้ให้เพื่อน

ก. ให้เพื่อนยืมไม้บรรทัด



ข. เด็กนั่งร้องไห้



ค. เด็กผู้หญิงแย่งของจากเพื่อน



2. ข้อใดเป็นการแบ่งปันผู้อื่น


ก. แบ่งของเล่นให้เพื่อน

ข. แย่งของจากเพื่อน
ค. นั่งเล่นกับเพื่อน


3. ข้อใดเป็นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น


ก. เด็กถูกทำโทษ

ข. เด็กทะเลาะวิวาทกัน
ค. เด็กนั่งร้องไห้เพื่อนเอาขนมมาให้


4. ข้อใดไม่ควรปฏิบัติต่อเพื่อน
ก. เด็กแลกเปลี่ยนของเล่นกัน
ข. อย่ามาเล่นของฉันนะ


ค. เด็กกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งเล่นของเล่นกันอยู่

5. ภาพใดเป็นการช่วยเหลือเพื่อนที่หกล้ม

ก. เพื่อนหกล้มช่วยพยุงเพื่อนให้ลุกขึ้น

ข. เพื่อนหกล้มตำหนิเพื่อน
ค. เพื่อนหกล้มเตะเพื่อน
6. ภาพใดเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ก.ช่วยกันทำงาน

ข.นั่งดูโทรทัศน์




ค. เล่นฟุตบอล




หมายเหตุ ผู้วาดรูปประกอบ เด็กชายธวัช ช่วยมี และ เด็กหญิงจุรุมน หมิ่นโอชา โรงเรียนบ้านควนสระแก้ว ตำบลนาโต๊ะหมิง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง

01 กรกฎาคม 2552

การปฏิบัติตามข้อตกลงของกลุ่ม

แบบทดสอบก่อนและหลังการพัฒนาโดยใช้ชุดฝึกกิจกรรมสร้างสรรค์

หัวข้อ การปฏิบัติตามข้อตกลงของกลุ่ม

คำชี้แจง ให้นักเรียนวงกลมข้อที่ถูกที่สุด

1. ภาพใดแสดงถึงความมีระเบียบวินัย

ก. นักเรียนทะเลาะกัน





ข. นักเรียนเดินแตกแถว


ค. นักเรียนเดินเข้าห้องเรียนอย่างมีระเบียบ





2. ในขณะที่คุณครูกำลังสอนหนังสือนักเรียนควรปฏิบัติตนอย่างไร

ก. เด็กบางคนอ่านหนังสือ บางคนเล่นของเล่น


ข. นักเรียนนั่งเล่นกัน
ค. นักเรียนตั้งใจฟังคุณครู

3. ข้อใดเก็บสิ่งของไว้ในตู้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ก. เล่นเสร็จแล้วเก็บของไว้ในตู้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


ข. เล่นเสร็จแล้วไม่เก็บของเล่นให้เรียบร้อย

ค. เก็บของไปกองไว้รวมกัน



4. ข้อใดทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นโดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน


ก. เด็กเดินลัดสนาม


ข. เด็กทิ้งขยะลงบนสนาม

ค. เด็กช่วยกันเก็บขยะกลางสนาม


5. ภาพในข้อใดที่นักเรียนต้องปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน

ก. เด็กทุกคนเข้าแถวเคารพธงชาติเรียบร้อย


ข. เด็กบางคนมาเข้าแถว บางคนกำลังเดินอยู่
ค. เด็กกำลังเดินบนถนนไม่รีบมาโรงเรียน

6. จากรูปข้อใดควรปฏิบัติมากที่สุด
ก. เด็กช่วยกันทำงาน
ข. เล่นแล้วไม่เก็บ
ค. เด็กเล่นของเล่นและทำขยะสกปรก



หมายเหตุ ผู้วาดรูปประกอบ เด็กชายธวัช ช่วยมี และ เด็กหญิงจุรุมน หมิ่นโอชา โรงเรียนบ้านควนสระแก้ว ตำบลนาโต๊ะหมิง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง

ทำไมนะ…ลูกเราถึงไม่ฉลาด

ความฉลาด (Intelligence) หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการเรียนรู้สิ่งต่างๆและความสามารถในการจัดการดูแล แก้ไขกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามทฤษฎี Successful Intelligence ของโรเบิร์ต เจ. สตอร์นเบอร์ก (Robert J. Sternberg) กล่าวว่า ความฉลาดของคนเรานั้นมีอยู่ 3 ด้าน ซึ่งได้แก่

1. ความฉลาดเชิงสร้างสรรค์(Creative Intelligence) หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการนำความรู้ที่ได้รับผ่านทางประสบการณ์ต่างๆมา ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างสร้างสรรค์ โดยการคิดค้นสิ่งใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและคนรอบข้างให้เกิดขึ้น

2. ความฉลาดเชิงประสบการณ์(Experiential Intelligence) หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการคิดวิเคราะห์ การพิจารณาข้อดีข้อด้อยและการแก้ปัญหาเมื่อประสบกับอุปสรรคต่างๆ โดยนำประสบการณ์ที่เคยได้เรียนรู้มา นำมาปรับใช้ในการประเมินและในการวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ความฉลาดเชิงปฏิบัติจริง (Practical Intelligence) หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการปรับเอาแนวคิดเชิงทฤษฎีให้สามารถนำมาปฏิบัติได้จริง ซึ่งคนที่มีความฉลาดในเชิงปฏิบัติจริงจะมีความสามารถในการเอาตัวรอดและ จัดการกับเรื่องต่างๆในชีวิตประจำวันได้ดี

โดย หลักแล้ว ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดความฉลาดของคนเรามีอยู่ 2 ประการคือ
1) พันธุกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด และ
2) สิ่งแวดล้อม ซึ่งได้แก่ การอบรมเลี้ยงดู อาหารการกิน ฐานะทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของครอบครัว แต่ ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าความฉลาดจะเกิดจากสิ่งใดก็แล้วแต่ ความฉลาดเป็นสิ่งที่พัฒนาได้และสามารถพัฒนาได้ดีตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัย 3 ปีแรกนั้น สมองจะเจริญเติบโตและพัฒนาได้มากถึง 80% ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่อยากให้ลูกฉลาดจึงควรต้องใส่ใจดูแลเขาอย่างมาก พร้อมทั้งป้องกันสิ่งที่เป็นอุปสรรคที่จะทำให้สมองของลูกเราไม่พัฒนา

ซึ่งปัจจัยที่อาจส่งผลให้ลูกของเราเป็นเด็กไม่ฉลาดหรือสมองไม่พัฒนา มีตัวอย่างดังนี้

1. เด็กได้รับสารอาหารไม่ครบทั้ง5หมู่ สารอาหาร 5 หมู่ ได้แก่ โปรตีน ที่ได้จากนม เนื้อสัตว์ และธัญพืชชนิดต่างๆ คาร์โบไฮเดรตที่ได้จากแป้งและข้าว วิตามินและเกลือแร่จากผักผลไม้ และไขมันที่ได้จากพืช การที่เด็กได้รับสารอาหารไม่ครบทั้ง 5 หมู่นั้น นอกจากจะส่งผลทำให้ร่างกายของเด็กอ่อนแอ ไม่เติบโตสมวัยแล้ว ยังทำลายความเจริญเติบโตของสมองซึ่งนั่นคือการทำลายความฉลาดของเด็กโดยตรง อีกด้วย

2. สภาพแวดล้อมที่เป็นมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษจากควันบุหรี่ ควันพิษจากท่อไอเสียรถยนต์ หรือสารตะกั่ว สารปรอทจากโรงงาน สารพิษเหล่านี้ไม่ได้ทำลายเฉพาะร่างกายและสมองของเด็กเท่านั้น แต่ยังเป็นพิษเป็นภัยต่อร่างกายและสมองของคนทุกเพศทุกวัยด้วย

3. เด็กขาดการสัมผัสกับสังคม เกิดจากการที่พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก ความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นแบบต่างคนต่างอยู่ พ่อแม่ไม่เคยเล่นกับลูกหรือมีการพูดคุยกับลูกน้อยมาก ทำให้ลูกขาดการพัฒนาในด้านภาษาและในด้านมนนุษยสัมพันธ์ ทำให้มีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น ซึ่งถือเป็นสาเหตุที่สำคัญสาเหตุหนึ่งที่สกัดกั้นความฉลาดของเด็กเพราะเด็ก จะขาดโอกาสที่จะเรียนรู้แลกเปลี่ยนนั่นเอง

4. เด็กขาดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดี เช่น พ่อแม่ไม่ค่อยพาลูกไปเปิดหูเปิดตารับประสบการณ์จากแหล่งเรียนรู้ข้างนอกบ้าน หรือไม่สนับสนุนให้มีสื่อและกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีซึ่งเด็กเล็กๆตั้งแต่ วัยอนุบาลควรจะได้รับ เช่น หนังสือนิทาน กิจกรรมดนตรี กิจกรรมศิลปะ การออกกำลังกาย

5. เด็กมีสุขภาพจิตไม่ดี เกิดจากการที่เด็กขาดความรัก ความอบอุ่นในครอบครัว หรือบางกรณีอาจได้รับการเลี้ยงดูที่เข้มงวดมากจนเกินไปและบังคับให้เด็กต้อง ทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบหรือไม่ถนัด ส่งผลทำให้เด็กเกิดความเครียด มีความวิตกกังวลสูง มองตัวเองในแง่ลบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนยาพิษที่ทำลายความฉลาดของเด็ก เพราะเด็กที่อยู่ในอารมณ์โกรธหรือซึมเศร้าเป็นเวลานานๆนั้น สมองจะหลั่งสารคอร์ติซอล(Cortisol)ซึ่งเป็นฮอร์โมนเครียดที่มีฤทธิ์ในการ ทำลายความเจริญเติบโตของสมองเด็ก ทำให้การพัฒนาความฉลาดของเด็กถูกยับยั้งลง

ผู้ เขียนมีความเชื่อว่า ความฉลาดของลูกอยู่ที่การเลี้ยงดูของพ่อแม่เป็นสำคัญ อย่าท้อแท้ที่วันนี้ลูกของเราอาจจะยังไม่เก่งหรือยังไม่ฉลาด เพราะหากคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูเขาด้วยความรักและเอาใจใส่แล้ว ความฉลาดนั้นก็จะพัฒนาขึ้นมาได้ และที่สำคัญอย่าลืม

“3 ส” นี้ คือ

1. ส่งเสริมในสิ่งที่ดี
2. สนับสนุนในสิ่งที่เป็น ประโยชน์ และ
3. สร้างภูมิคุ้มกันจากสิ่งเลวร้ายทั้งปวง แค่นี้ลูกของเราก็จะฉลาดได้อย่างแน่นอน

ดร.แพง ชินพงศ์ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เพราะอะไร ทำให้"เด็กกลัวโรงเรียน"

ผ่านมาแล้วเกือบสองเดือนกับการเปิดเทอม ของเด็ก ๆ แต่ก็ยังมีเด็กบางคนที่มักจะร้องไห้ตอนเช้า ๆ เสมอ เมื่อรู้ว่าตนเองนั้น
"ต้องไปโรงเรียน"

อาการ "กลัวโรงเรียน" พบได้เมื่อใดบ้าง
1. เกิดขึ้นตอนเข้าโรงเรียนใหม่ ๆ ทั้งนี้เพราะเด็กแต่ละคนมีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมแตก ต่างกัน เร็วบ้างช้าบ้าง ซึ่งอาการไม่อยากไปโรงเรียนของเด็กถือเป็นเพียงปัญหาในการปรับตัวของเด็ก เท่านั้น
2. เกิดขึ้นเมื่อเด็กไปโรงเรียนได้ระยะหนึ่งแล้ว

ในกรณีนี้ถือเป็นความผิดปกติทางอารมณ์ในเด็ก อาจเกิดจากความกังวลที่ต้องแยกจากบุคคลใกล้ชิด เช่น มารดา ส่วนสาเหตุที่ทำให้เด็กเกิดความรู้สึกเช่นนั้นเพราะ
- เด็กได้รับการเลี้ยงดูแบบทนุถนอมเกินไป พ่อแม่เป็นห่วงเด็กมาก ไม่ยอมให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง เด็กจะได้รับความรู้สึกพึ่งพา มีพ่อแม่เข้ามาอยู่ในจิตใจ และมีความกังวลต่อการแยกจากสูง
- ได้รับการเลี้ยงดูแบบตามใจมาก เด็กจะกลายเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ชอบสบายในบ้านมากกว่าจะยอมมาลำบากที่โรงเรียน
- ครอบครัวมีปัญหา เช่น พ่อแม่ทะเลาะกันบ่อย ครอบครัวหย่าร้าง
- เผชิญกับความเครียดบางอย่างจากโรงเรียน เช่น ถูกครูดุ การบ้านเยอะ เพื่อนแกล้ง
- เกิดเรื่องราวที่ไปกระตุ้นความรู้สึกว่าจะถูกแยกจาก เช่น ถูกขู่ว่าพ่อแม่จะไม่รัก มีน้องใหม่ พ่อแม่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ

สำหรับพฤติกรรมที่แสดงออกให้ทราบว่าเด็กเกิดอาการไม่อยากไปโรงเรียน นั้น มีทั้งแบบเฉียบพลัน หรือแบบค่อยเป็นค่อยไป ยกตัวอย่างเช่น ร้องไห้งอแง โอ้เอ้ ลุกจากที่นอนช้า แต่งตัวช้า ในตอนเช้า โดยเฉพาะเช้าวันจันทร์ หรือมีอาการทางกายร่วมด้วยเช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง อาเจียน

หาก ยอมให้เด็กอยู่บ้าน อาการเหล่านี้มักจะรุนแรงขึ้น เพราะเด็กจะได้รับความพอใจ และยิ่งปรับตัวให้เข้ากับโรงเรียนได้ยากขึ้นอีก ดังนั้นต้องให้เด็กกลับไปเรียนโดยเร็ว

แนวทางการแก้ไขก็คือ พ่อแม่ต้องใจแข็งต่อเสียงร้องไห้ หรือน้ำตาของลูก ยืนยันให้ลูกไปโรงเรียน แต่ไม่ควรเปรียบกับเด็กคนอื่น ๆ งดการขู่ การหลอกล่อ หรือให้รางวัล

ครูเองก็มีความสำคัญที่จะบรรเทาการกลัวให้ลดลงได้ ครูควรไปรับเด็กจากแม่ พร้อมแนะนำให้แม่กลับบ้านทันที จากนั้นก็ปลอบใจเด็ก และอาจลดความเข้มงวดบางเรื่องลง แต่ไม่ใช่การให้อภิสิทธิ์กับเด็ก และไม่ควรปล่อยให้เพื่อนล้อเลียนเด็กคนนั้นด้วย

ส่วน การแก้ไขระยะยาวนั้น พ่อแม่อาจต้องสนับสนุนให้เด็กได้ทำกิจกรรมร่วมกับเด็กคนอื่น ๆ บ้าง เช่น เข้าค่ายฤดูร้อน พาไปเล่นกับกับเพื่อนคนอื่น ๆ และควรหัดให้เด็กมีความรับผิดชอบภายในบ้าน เช่น ทำความสะอาดบ้าน เก็บข้าวของ และชมเชยเมื่อลูกทำได้ ก็จะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในตนเอง และเลิกกลัวโรงเรียนได้ในที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจากสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

7 อุปนิสัยสร้างเด็กให้ประสบความสำเร็จ

เป็นอีกหนึ่งทิปดี ๆ จากเว็บไซต์ Education.com ที่เรานำมาฝากกันค่ะ เกี่ยวกับการสร้างอุปนิสัยเพื่อให้เด็กประสบความสำเร็จในอนาคตเมื่อเขาโต ขึ้น ซึ่งอุปนิสัยเหล่านั้นจะมีอะไรบ้าง ลองติดตามกันได้เลยค่ะ

เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่มีความมั่นใจ สามารถควบคุมสถานการณ์ต่าง ๆ ได้
ความมั่นใจเป็นกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกเด็กวัยรุ่นสู่อิสรภาพ รวมถึงปลดปล่อยความสามารถในด้านอื่น ๆ ของตนเองออกมา พ่อแม่จึงควรสนับสนุนให้ลูกวัยรุ่น หรือวัยพรีทีนมีโอกาสแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยตัวเอง และรับผิดชอบชีวิตของตนเอง เด็กที่มีความมั่นใจจะเข้าใจว่า ตัวเขาเองคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย และเขาจะไม่กลายเป็นเด็กที่ชอบโทษคนอื่น หรือสิ่งอื่นว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาด้วย

เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่มีเป้าหมายในชีวิต
เด็กวัยรุ่น หรือเด็กวัยพรีทีนจำนวนไม่น้อยเกิดความสับสนเกี่ยวกับเป้าหมายของชีวิต และคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ เขาอาจไม่ทราบว่า ทำไมเขาถึงต้องทำสิ่งนี้ เขาจะประสบความสำเร็จไปเพื่อใคร และอาจมองชีวิตว่าเป็นการเดินทางที่ไร้จุดหมายแน่นอน ในจุดนี้ หากพ่อแม่ช่วยลูกสร้างเป้าหมายในชีวิต หรือแนะแนวทางในการตัดสินใจเลือกเส้นทางเดินชีวิตได้ก็จะช่วยให้ชีวิต และทางเดินของเขามีคุณค่าต่อตัวเองและต่อสังคมมากยิ่งขึ้น

เด็กที่ประสบความสำเร็จคือคนที่รู้จักจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง
เด็กที่รู้จักจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง และรู้จักการบริหารเวลา จะทำให้เขาสามารถพุ่งความสนใจในสิ่งที่ควรให้ความสนใจเป็นอันดับแรก และทำมันได้สำเร็จ อีกทั้งความหมายของหัวข้อดังกล่าวยังมองไปถึงการก้าวข้ามความกลัว ซึ่งเป็นอุปสรรคในการตัดสินใจในช่วงเวลาสำคัญ ๆ ได้อีกด้วย

เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่มีแนวคิดแบบ Win-Win
ในโลกใบนี้ การต้องมีผู้แพ้-ผู้ชนะในการแข่งขันดูจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันจะดีมากกว่า หากเด็ก ๆ ได้เรียนรู้การทำให้เกิดผู้ชนะทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครเป็นฝ่ายแพ้ เด็กจะได้เรียนรู้จากบรรยากาศที่ทุกฝ่ายสามารถฉลองชัยร่วมกันได้ แทนที่จะต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถูกเยาะเย้ยจากความพ่ายแพ้

เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่รู้จักฟัง
ปัญหาที่เกิดขึ้นมากมายบนโลกใบนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราไม่รับฟังคนอื่นมากพอ จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน การฝึกการฟังให้เด็กเป็นผู้ฟังอย่างมีสติ จับประเด็นได้ถูกต้อง จะทำให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิตได้ง่ายและเร็วกว่าคนอื่น

เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่ทำงานเป็นทีมได้
การทำงานเป็นทีมมักให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการทำงานเพียงคนเดียวหลายเท่า พันทวี และมักสร้างสิ่งดี ๆ ให้เกิดแก่สังคมได้มากมาย เด็กที่จะผ่านจุดนี้ไปได้นั้น ต้องเรียนรู้ให้มากกว่าการยึดเอาตามความคิดของ "ฉัน" หรือความคิดของ "เธอ" แต่เป็นการรวมสมองเพื่อมองหาทางที่แตกต่าง ทางใหม่ ๆ ที่ทุกคนสามารถได้รับประโยชน์โดยเท่าเทียมกัน

เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่มีวิสัยทัศน์
เด็กวัยพรีทีนหรือวัยรุ่น เป็นช่วงที่ยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก และพร้อมสำหรับการรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิต ซึ่งในจุดนี้ทำให้เขาพร้อมที่จะพัฒนาศักยภาพ และวิสัยทัศน์ให้เฉียบคม เพื่อที่เขาจะนำมันไปใช้รับมือกับอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิตต่อไป

เรียบเรียงจาก education.comโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

อาหารบำรุงสมอง

พ่อ แม่ทุกคนอยากให้ลูกได้เติบโตอย่างสมบูรณ์ ร่วมกับการมีสมองที่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ จนบ่อยครั้งที่ยอมจ่ายเงินครั้งละมากๆ เพื่ออาหารเสริมที่มักจะอวดสรรพคุณว่าช่วยบำรุงสมอง หรือบางครั้งพาลูกเข้าร่วมกิจกรรมที่โฆษณาว่าจะช่วยพัฒนาสมอง บริษัทที่ขายผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนช่วยบำรุงสมองเลยสักนิด ก็มักจับกระแสนี้ โดยโหมโฆษณาที่เน้นถึงการพัฒนาของสมองและก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่หลงเชื่อตาม แรงโฆษณาเหล่านี้ จึงรู้สึกเสียดายเงินแทนผู้ปกครองที่ยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้

จะขอเริ่มจากไขมันจากปลาทะเลโดยเฉพาะกรดไขมัน DHA เพราะมีการศึกษาออกมามากมายว่า มีส่วนทำให้ทารกในวัย 1 ขวบปีแรกมีพัฒนาการเร็วขึ้น เมื่อได้รับ DHA อย่างเพียงพอ จากการศึกษาปริมาณ DHA ในนมแม่ของหญิงไทย ทั่วประเทศที่ผมและคณะทำการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า ในนมแม่ของหญิงไทยทุกภาคมีปริมาณ DHA ที่สูงและมีมากกว่าน้ำนมแม่ของคนแถบยุโรปและอเมริกาเสียอีก โดยหญิงไทยเหล่านี้ไม่ได้กินอาหารทะเลมากเป็นพิเศษ จึงไม่ต้องเป็นห่วงมากเกินไปว่าต้องกินปลาทะเลหรือไขมันจากปลาทะเลเสริมในช่วงให้นมแม่ อาจเป็นเพราะหญิงไทยสามารถสร้างไขมัน DHA จากน้ำมันพืชที่กินเข้าไปก็ได้

สำหรับนมผงสำหรับทารก ที่ระยะหลังนี้จะเริ่มแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ ชนิดดั้งเดิม และกลุ่มหลังคือ ชนิดที่มีการเติม DHA โดยกลุ่ม หลังนี้มักจะแพงกว่ากลุ่มแรกกระป๋องละ 30-40 บาท (ในขนาดกระป๋องละ 400 กรัม) ผู้ปกครองที่มีฐานะปานกลางขึ้นไปก็มักจะไม่เสียดายเงินที่ต้องจ่ายมากขึ้น จึงมักซื้อชนิดที่แพงกว่าเพราะคิดว่าสมองของลูกจะมีการพัฒนาที่ดีกว่า แต่จากการศึกษาจนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าจำเป็นต้องมี DHA ในนมผง สำหรับทารกในกลุ่มที่กินนมที่มี DHA อาจจะมีการพัฒนาเร็วกว่าอีกกลุ่มเล็กน้อย แต่กลุ่มที่ไม่มีได้กิน DHA ก็จะมีพัฒนาการที่ไล่ทันเมื่ออายุ 1-2 ขวบ ทั้งนี้เป็นเพราะทารกก็สามารถสร้าง DHA ขึ้นมาได้เองภายในร่างกาย จากข้อมูลขณะนี้จึงมีน้ำหนักไม่เพียงพอที่จะบังคับให้ทุกบริษัทต้องเติม DHA ลงไปในนมผงสำหรับทารก

การ ที่ลูกได้รับนมแม่หรือได้รับนมผงร่วมกับการให้อาหารเสริมที่มีความหลากหลาย ตามเวลา และมีความเพียงพอใน 1 ขวบปี ก็จะทำให้สมองของลูกได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ และเมื่อร่วมกับการอยู่ใกล้ชิด เล่นกับลูกก็จะช่วยพัฒนาเครือข่ายเส้นใยประสาทภายในสมองของลูกได้อย่างเต็ม ที่ การเล่นกับลูกเมื่อลูกตื่นตามแต่ละอายุของลูกนั้น ขอเรียกพ่อและแม่นั้นว่าเป็น “Biotoys” พูดง่ายๆ ก็คือ พ่อหรือแม่คือ “ของเล่นที่มีชีวิตที่ดีที่สุดของลูก” มีคนจำนวนมากซื้อของเล่นต่างๆ มาให้ลูก โดยของเล่นแต่ละชิ้นมักจะระบุว่าเหมาะกับลูกอายุเท่าไหร่ แต่จากประสบการณ์ของผมแล้ว ผมอยากให้ Biotoys นี้เป็นของเล่นหลักของลูกมากกว่า 80% ของเวลาที่ลูกตื่นขึ้นมา

ในวัยอายุ 2-3 ปี เป็นช่วงที่สมองของลูกมีการเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ มีเส้นใยประสาทเชื่อมต่อกันมากมาย วัยนี้เป็นวัยที่เหมาะที่จะส่งเสริมกิจกรรมทุกๆ ด้าน กิจกรรมทุกๆ ด้านนี้อาจหมายถึง กีฬา ดนตรี ศิลปะ หรือการเต้นก็ได้ แต่เราก็ไม่สามารถฝืนพื้นฐานของสมองของเขาได้ พื้นฐานสมองของลูกแต่ละคนนี้มีพันธุกรรมเป็นตัวกำหนด เช่น พ่อและแม่เป็นนักดนตรีทั้งคู่ ลูกก็จะมีความสามารถในการเข้าถึงดนตรีเป็นพื้นฐานได้ดีกว่าเด็กอื่น จะมาส่งเสริมให้เขาเป็นนักเทนนิสมืออาชีพก็อาจจะไม่เหมาะสมนัก หรือพ่อและแม่ที่เคยเป็นนักเรียนที่เรียนเก่งมาทั้งคู่ ลูกๆ ก็จะมีพื้นฐานทางด้านการคำนวณและความจำที่ดีกว่าเด็กอื่น จะให้มาฝึกเป็นนักกีฬาอาชีพใดอาชีพหนึ่งก็อาจจะประสบผลสำเร็จยากกว่าการเป็น นักวิทยาศาสตร์ หมอ หรือวิศวกร เป็นต้น

ใน วัยอนุบาล คือ วัยที่มีอายุระหว่าง 3-6 ปี เป็นวัยที่เส้นใยภายในสมองเริ่มลดน้อยลง โดยการลดลงของเส้นใยสมองนี้เป็นไปตามพันธุกรรม เส้นประสาทของครอบครัว ดนตรี ลูกก็จะยังคงมีเส้นใยประสาททางด้านดนตรีอยู่มากมาย ขณะที่เส้นใยประสาทของครอบครัวที่เรียนเก่งก็จะมีการเชื่อมโยงสมองทั้งทาง ด้านความจำและด้านคำนวณคงอยู่จำนวนมาก แต่การฝึกใช้บ่อยๆ ของเส้นใยประสาทแต่ละด้านในวัยนี้ ก็จะช่วยให้มีการคงอยู่มากขึ้นกว่าการไม่ส่งเสริมอะไรเลย เช่น การจะฝึกเล่นกีฬาใดกีฬาหนึ่ง ก็ควรเริ่มฝึกในวัยนี้ ทั้งนี้กีฬาแต่ละชนิดต้องการการคงอยู่ของเส้นประสาทไม่เหมือนกัน เมื่อเริ่มฝึกตั้งแต่วัยนี้ ก็จะมีการคงอยู่ของเส้นประสาทที่จำเป็นต้องใช้ในกีฬาชนิดนั้นอย่างครบถ้วน

คำ ถามที่ถามบ่อยว่า มีอาหารอะไรหรือไม่ที่จะช่วยบำรุงสมองในช่วงเป็นนักเรียนและนักศึกษา มีการโฆษณาสินค้ามากมายหลายชนิดที่พยายามสื่อว่า ถ้ากินเข้าไปแล้วจะช่วยบำรุงสมอง แต่จากการศึกษายังไม่มีอาหารเสริมชนิดใดเลยที่ช่วยบำรุงสมอง การให้การดูแลที่ถูกต้องแก่ลูกก็จะช่วยบำรุงสมองของลูกได้

ขั้นแรกคือ การได้นอนพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน เด็กนักเรียนชั้นประถมในช่วงกลางคืนควรนอนอย่างต่ำคืนละ 10 ชั่วโมง และเมื่อให้ตื่นขึ้น ควรกินข้าวเป็นมื้อเช้า จึงควรให้ความสำคัญแก่ข้าวมื้อเช้ามากๆ ควรฝึกให้ลูกกินข้าวสวยร่วมกับกับข้าวสัก 1-2 อย่างและตามด้วยนมอีก 1 แก้ว ลูกก็จะได้สารอาหารต่างๆ ที่จำเป็นอย่างครบถ้วน และเพียงพอต่อการเรียนหนังสือจนถึงเที่ยงวัน แล้วจึงต่อด้วยอาหารมื้อเที่ยง ลูกก็จะไม่อ่อนล้าเกินไปต่อการเรียน ในช่วงชั้นมัธยมศึกษา ลูกควรนอนอย่างน้อยคืนละ 9 ชั่วโมง และควรกินมื้อเช้าเช่นวัยประถม สมองของลูกก็พร้อมที่จะเรียนหนังสือได้ตลอดวัน

คำ ถามสำคัญสุดท้ายก็คือ อาหารอะไรที่พอจะบำรุงสมองสำหรับผู้ใหญ่หรือคนวัยทำงาน วัยผู้ใหญ่จนถึงวัยชรา จะเริ่มพบผู้ใหญ่หรือคนชราหลายคนที่เริ่มหลงๆ ลืมๆ และบางคนเป็นมากจนลืมทุกอย่างแม้กระทั่งชื่อของตัวเอง ที่เราเรียกว่า โรคอัลไซเมอร์ อาหารที่พอจะช่วยป้องกัน หรือบรรเทาโรคนี้ เห็นจะเป็นกลุ่มที่มี วิตามิน เอ ซี อี และธาตุเซเลเนียม โดยวิตามิน เอ และซี นี้มีมากในผักและผลไม้ จึงควรหมั่นกินเป็นประจำทุกมื้อ ส่วนวิตามิน อี นั้นมีมากในน้ำมันพืชและในไขมันจากสัตว์ แต่มีไม่เพียงพอ ผมจึงขอแนะนำให้ทุกคนกินเสริมวันละ 100 มิลลิกรัม ตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไปเลย และในกรณีที่เริ่มมีอาการหลงๆ ลืมๆ ก็ควรเพิ่มการกินวิตามิน อี เป็นวันละ 200-400 มิลลิกรัม ส่วนธาตุเซเลเนียมนั้นมีมากในเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ตับ และไต จึงควรหมั่นกินอาหารเหล่านี้ เป็นประจำเช่นกัน และอย่าลืมออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกๆ วัน เพื่อให้เลือดได้รับการสูบฉีดไปเลี้ยงสมองอย่างทั่วถึง

ที่ กล่าวมาทั้งหมดนี้อาจจะพอสรุปได้ว่า การบำรุงสมองนั้นประกอบด้วย การพักผ่อนที่เพียงพอ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับการกินอาหารที่มีความหลากหลาย คือ มีเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผัก ผลไม้ และนม ส่วนที่มีการโฆษณาสินค้าต่างๆ มากมายว่าสามารถบำรุงสมองนั้น ก็ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเป็นจริงเลย

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2551

พาเด็กๆเข้าครัวกันเถอะ

กิจกรรมเข้าครัวทำอาหาร (cooking) เป็นกิจกรรมหนึ่งที่เด็ก ๆ ชอบมาก ในขณะที่เด็ก ๆ ช่วยคุณพ่อเด็ดผัก ช่วยคุณแม่ผสมเครื่องปรุงต่างๆ หรือการที่เด็ก ๆ ได้คิดค้นวิธีการปรุงอาหารใหม่ ๆ ด้วยตัวเอง เพิ่มส่วนนี้นิด ผสมส่วนนั้นหน่อย เพื่อให้อาหารออกมามีหน้าตาน่ารับประทานแถมมีรสชาติแสนอร่อยถูกใจตัวเองนั้น ทราบหรือไม่ว่าเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์กับเด็ก ๆ หลายด้านดังนี้

เรียนรู้ด้านคณิตศาสตร์

ในการทำอาหารเด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ในด้านคณิตศาสตร์โดยตรงในเรื่องของการชั่ง ตวง วัด การคาดคะเน การนับ การเปรียบเทียบในเรื่องของสี ขนาด และรสชาติ ตลอดทั้งการลำดับขั้นตอนในการทำอาหาร เช่น เวลาทอดไข่เจียว ต้องตอกไข่ลงในถ้วยแล้วตีไข่ หลังจากนั้นก็เทไข่ลงในกระทะที่ใส่น้ำมันร้อนๆ พอไข่สุกก็ใช้ตะหลิวไข่ตักขึ้นมารับประทาน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการเรียนรู้ในเรื่องของคณิตศาสตร์ทั้งสิ้น

เรียนรู้ด้านภาษา

เวลาเด็ก ๆ เข้าครัวก็จะได้เรียนรู้ในด้านภาษาโดยตรง ในเรื่องของการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ จากอุปกรณ์และภาชนะในห้องครัว เช่น ตะหลิว ครก สาก หม้อ เขียง หรือ คำศัพท์จากผักและเครื่องปรุงชนิดต่างๆ เช่น ผักชี ผักบุ้ง โหระพา กระถิน น้ำปลา น้ำมัน น้ำตาล เกลือ

เรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์

ในขณะที่ปรุงอาหารเด็กๆจะได้เรียนรู้ในเรื่องของการสังเกต เช่น สังเกตการเปลี่ยนแปลงของอาหารขณะปรุง ในเรื่องของการสัมผัส เช่น การสัมผัสเปรียบเทียบระหว่างอาหารที่ร้อนและอาหารที่เย็น ในเรื่องของการดมกลิ่น และการชิมรสชาติของอาหารชนิดต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของการทดลองซึ่งเป็นการเรียนรู้ในแง่ของวิทยา ศาสตร์โดยตรง

เรียนรู้ด้านวัฒนธรรม

การปรุงอาหารของภาคต่างๆ เช่น การช่วยคุณแม่ทำน้ำพริกอ่องของภาคเหนือ การช่วยคุณพ่อตำส้มตำทำปลาร้าแจ่วของภาคอีสาน การช่วยคุณยายทำแกงไตปลาของภาคใต้ การช่วยคุณย่าทำแกงไก่ใส่กะทิของภาคกลาง ซึ่งกิจกรรมทำอาหารต่าง ๆ เหล่านี้ช่วยให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ความแตกต่างในเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของแต่ละภาค

นอกจากนี้กิจกรรมเข้าครัวยังช่วยพัฒนาทักษะให้กับเด็กๆในเรื่องของ ศิลปะ การออกแบบ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ตลอดทั้งการเรียนรู้ในด้านโภชนาการ การทำงานร่วมกับผู้อื่น การฝึกกล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กในการเคลื่อนไหวหยิบจับสิ่งต่างๆได้ อย่างคล่องแคล่ว

กิจกรรม การเข้าครัวทำอาหารเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์และเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ทักษะในด้านต่าง ๆ อย่างมากมาย ดังนั้นคุณพ่อ คุณแม่ไม่ควรพลาดโอกาส เมื่อเวลาจะเข้าครัวเมื่อไหร่ ก็อย่าลืมเรียกเจ้าตัวเล็ก ติดตามไปด้วย เพราะไม่เพียงแต่ลูกจะได้เรียนรู้ทักษะที่สำคัญในชีวิตเท่านั้น แต่ยังเรียนรู้บทเรียนหลากหลาย พร้อมทั้งมีความสุข สนุกสนานควบคู่กันค่ะ

ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ลูกไม่รักดี…เป็นแบบนี้เพราะเหตุใด

“พ่อแม่เลี้ยงลูกได้แต่ตัว” เป็นคำกล่าวที่ได้ยินกันอยู่เสมอ สำหรับตัวผู้เขียนแล้วเชื่อว่าคงไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ต้องการจะเลี้ยงลูกให้ โตแต่ตัวอย่างเดียวเท่านั้น แต่อยากจะเลี้ยงดูฟูมฟักลูกๆของเราให้เติบโตในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สติปัญญาและความประพฤติต่างๆ แต่เพราะด้วยวิธีการเลี้ยงลูก (ที่ผิดๆ) ของพ่อแม่บางคนนั้น อาจส่งผลให้ลูกกลายเป็นเด็กที่มีพฤติกรรมไม่ดี จนบางทีอาจถึงขั้นเป็น “ลูกไม่รักดี” เลยก็เป็นได้

“ลูกไม่รักดี” มีพฤติกรรมเช่นไรบ้าง

1. ไม่ร่ำเรียนหนังสือ เช่น ลูกที่แต่งชุดนักเรียนออกจากบ้านแต่ไปยังไงก็ไปไม่ถึงโรงเรียนสักที เพราะแวะไปเที่ยวบ้านเพื่อน ไปเที่ยวเตร่ตามห้างสรรพสินค้า หนีไปเล่นเกมคอมพิวเตอร์ เวลาสอบไม่เข้าสอบ ตกซ้ำชั้นทุกปีก็ยังไม่แยแส แบบนี้เรียกว่าลูกไม่รักดี แต่พ่อแม่อย่าคิดว่าลูก ที่เรียนไม่เก่งเป็นลูกไม่รักดี เพราะลูกบางคนเขาพยายามตั้งใจเรียนแล้ว ตั้งใจอ่านหนังสือสอบแล้ว ก็ยังสอบตกบ้างผ่านบ้าง กรณีนี้พ่อแม่ต้องคอยให้กำลังใจเขา และคอยเสริมในสิ่งที่เขายังบกพร่องอยู่

2. ทำตัวเกะกะเกเร หากพ่อแม่คนไหนมีลูกเป็นหัวโจก เป็นนักเลงอันธพาล ชอบหาเรื่องวิวาท คงต้องใจสั่นไม่เป็นสุขทุกวัน เพราะต้องคอยกังวลว่าวันนี้มีใครต้องเดือดร้อนเพราะลูกเราบ้าง ลูกแบบนี้เป็นลูกที่ทำลายอนาคตพ่อแม่ ทำให้พ่อแม่เสื่อมเสีย เพราะนอกจากต้องคอยตามสะสางปัญหาให้ลูกไม่เว้นแต่ละวันจนไม่เป็นอันทำอะไร แล้ว มักจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใด เพราะใครๆก็กลัวจะได้รับความเดือดร้อน จึงไม่อยากข้องเกี่ยว

3. ติดอบายมุข ทั้งเหล้า บุหรี่ ยาเสพติด การพนัน ซึ่งทำให้เสียสุขภาพ เสียการเรียน เสียเงินทอง เสียอนาคต หากกลัวว่าลูกจะติดอยู่ในวังวนนี้ พ่อแม่ต้องสอนให้ลูกรู้ถึงโทษของสิ่งเหล่านี้เพื่อให้เขารู้สึกกลัว เช่น พาลูกไปโรงพยาบาลเพื่อไปดูปอดหรือตับของคนที่เสียชีวิตเพราะติดเหล้าติด บุหรี่ที่แพทย์เก็บรักษาไว้ในโหลดอง หรือหาหนังสือหรือข่าวเรื่องของคนที่ติดการพนันจนหมดตัวไม่มีแม้แต่ที่จะซุก หัวนอนให้ลูกได้ดูได้อ่าน

4. ริรักจนฉุดไม่อยู่ พ่อแม่ที่มีลูกเข้าสู่วัยรุ่นมักกลุ้มใจกับปัญหาลูกมีรักก่อนวัยอันควร จริงๆแล้วตามธรรมชาติของเด็กวัยนี้มักให้ความสนใจกับเพื่อนต่างเพศ แต่บางคนสนใจมากจนควบคุมอารมณ์ ความรู้สึกและการกระทำของตัวเองไม่ได้ จึงเกิดความผิดพลาดเสียหาย เช่น มีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งจนตั้งครรภ์ เกิดเป็นปัญหาครอบครัวและปัญหาสังคมต่อไป

5. ทำร้ายพ่อแม่ ไม่ว่าจะทางกายหรือจิตใจ เช่น ทุบตีเตะต่อยพ่อแม่ ด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย พูดจาเสียดแทงทำร้ายจิตใจ หรือไม่เชื่อฟังคำสอน ลูกประเภทนี้น่าเป็นห่วงที่สุด เพราะทำร้ายได้แม้กระทั่งผู้ให้กำเนิด จึงน่าเชื่อได้ว่าจะสามารถทำสิ่งต่างๆที่ผิดได้โดยไม่รู้สำนึกว่าสิ่งนั้น เป็นสิ่งที่ผิด

ลูกไม่รักดี เพราะพ่อแม่เลี้ยงผิดวิธี
1. ตามใจลูกจนเสียคน พ่อ แม่ประเภทนี้เป็นพ่อแม่ที่ไม่เคยขัดใจลูก ลูกอยากได้อะไรอยากทำอะไรก็ตามใจ แม้เป็นสิ่งไม่ดีก็ไม่เคยปฏิเสธ ไม่ตักเตือนสั่งสอนในสิ่งที่ถูกที่ควร ไม่เคยตำหนิแม้ลูกทำผิด เป็นต้นว่า ถ้าลูกไม่อยากไปโรงเรียนเพราะเบื่อที่ครูเคร่งครัดก็ไปหาโรงเรียนใหม่ให้ ลูกอยากไปเที่ยวกลางคืนไม่กลับบ้านก็ไม่เป็นไรเมื่อไหร่อยากกลับให้โทรศัพท์ ไปบอกเดี๋ยวจะขับรถไปรับ ลูกอยากได้เงินเท่าไหร่ แม้ไม่มีก็ไปหยิบยืมหามาให้ ดังนี้แล้วไม่ว่าลูกต้องการสิ่งใดเขาจะบีบบังคับพ่อแม่จนได้ พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกเป็นเจ้านายเช่นนี้ต้องช้ำใจ เพราะลูกจะเห็นพ่อแม่เป็นเหมือนคนรับใช้เช่นกัน

2. บังคับลูกจนอึดอัด ครอบงำจนลูกกระดิกตัวไม่ได้ พ่อ แม่เลี้ยงลูกเหมือนลูกเป็นคอมพิวเตอร์ที่พ่อแม่ใส่ข้อมูลไว้ให้ อะไรที่นอกเหนือไปจากคำสั่งที่พ่อแม่ตั้งไว้นั่นคือลูกไม่เชื่อฟัง ลูกอกตัญญู ลูกไม่เชื่อง ซึ่งลูกที่ถูกเลี้ยงแบบกดไว้เช่นนี้ หากเขามีโอกาสเป็นอิสระสักนิด เขาอาจเตลิดเปิดเปิงแบบกู่ไม่กลับได้เลยทีเดียว

3. ปล่อยปละละเลย มักเป็นพ่อแม่ที่ให้ความสำคัญกับตัวเองมาก มีชีวิตอยู่กับตัวเอง จนไม่สนใจความเป็นอยู่ใดๆของลูก พ่อ แม่ประเภทนี้เลี้ยงลูกเหมือนเป็นพนักงานบริษัท คือถึงเวลาสิ้นเดือนก็ให้เงินเดือน แล้วให้ลูกไปจัดการชีวิตตนเอง ทำให้ลูกไม่มีความผูกพันกับพ่อแม่เลย ดังนั้นไม่ว่าเขาจะทำอะไรเขาจะไม่สนใจพ่อแม่ เพราะเขาคิดว่าพ่อแม่ก็ไม่เคยสนใจเขาเช่นเดียวกัน

4. ทำไม่ดีเป็นตัวอย่าง เช่น พ่อแม่พูดกันเองหรือพูดกับลูกด้วยถ้อยคำไม่ไพเราะ ลูกก็จะติดมาพูดกับพ่อแม่ได้ เพราะเห็นเป็นเรื่องปกติ หรือพ่อแม่ไม่เคยไปเยี่ยมหรือไม่เคยไปดูแลปู่ ย่า ตา ยายในยามเจ็บป่วยเลย ลูกก็จะไม่รู้ว่าลูกที่ดีนั้นมีหน้าที่ต้องคอยปรนนิบัติพ่อแม่เมื่อเจ็บป่วย

5. ไม่รู้จักวิธีอบรมสั่งสอน สิ่ง เหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับความรู้ของพ่อแม่ ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ไม่มีการศึกษาจะสอนลูกไม่ได้ เพราะพ่อแม่บางคนไม่ได้เรียนหนังสือเลย ก็ยังเลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จเป็นคนดีมีคุณธรรมได้มากมาย แต่เป็นเพราะพ่อแม่บางคนไม่รู้วิธีว่าจะสั่งสอนลูกอย่างไร บางทีพูดไม่เป็น บอกไม่เป็น ซึ่งน่าเห็นใจมาก เพราะลูกมักจะไม่เกรงใจพ่อแม่ เห็นพ่อแม่เหมือนหัวหลักหัวตอ ดังนั้นพ่อแม่ต้องกล้าพูด กล้าตักเตือนลูก ไม่ต้องกลัวเกรงลูก อย่าลืมว่าลูกจะเป็นคนที่รักดีได้นั้นก็มาจากการอบรมสั่งสอนของพ่อแม่นั่น เอง

พ่อแม่ทุกคนย่อมหวังให้ลูกเป็นคนที่ ดี ดีทั้งต่อตนเอง ต่อพ่อแม่และต่อสังคม แต่หากลูกของเราเป็นหรือทำสิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง ในฐานะของคนเป็นพ่อแม่แล้วคงรู้สึกผิดหวังและเสียใจเป็นธรรมดา ผู้เขียนอยากเป็นกำลังใจให้พ่อแม่ทุกคนอย่าท้อแท้ แต่ให้ทบทวนถึงสาเหตุที่ทำให้ลูกเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าปัญหาจะเกิดเพราะความบกพร่องของพ่อแม่เองหรือเกิดจากตัวลูกก็แล้วแต่ ให้เรียนรู้ที่จะแก้ไขด้วยใจที่เปิดกว้างด้วยความรัก ความเข้าใจ ความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน การแบ่งปันและการให้โอกาส เชื่อว่าลูกของเราจะเป็น “ลูกที่รักดี” ได้อย่างแน่นอน

ดร.แพง ชินพงศ์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เปิดเทอมใหม่ หนูเครียด!! พ่อแม่จะช่วยได้อย่างไร

แม้จะเปิดเทอม ใหม่มาแล้ว 2-3 สัปดาห์ ภาพที่ยังพบเห็นบ่อยก็คือ เด็กร้องไห้ กอดขาผู้ปกครอง งอแง ไม่อยากไปโรงเรียน มีหลายครอบครัวพบว่าเด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าว ไม่ทำการบ้าน ไม่กินข้าว ซึมเศร้า

อาการเหล่านี้ พญ. เพียงทิพย์ หังสพฤกษ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ ระบุว่า อาจเป็นเพราะเด็กเครียด ซึ่งในช่วงเปิดเทอมเป็นช่วงที่เด็กจะต้องปรับตัว เด็กที่ปรับตัวไม่ได้จะมีความเครียด เนื่องจากเกิดความกังวลในหลายๆ เรื่อง เช่น เด็กเล็ก จะกังวลเรื่องการปรับตัว ห่างพ่อแม่ กลัวการเข้าห้องน้ำเอง กลัวกินอาหารใหม่ๆ กลัวเพื่อนแปลกหน้า หรือกลัวถูกครูดุ จนมีอาการซึมเศร้าได้

พญ.เพียงทิพย์ กล่าวว่า เด็กและวัยรุ่นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเรื่องการพัฒนาความสามารถในการปรับตัว ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งซึ่งพ่อแม่ และครู จะต้องช่วยกันดูแลเอาใจใส่ เพื่อไม่ให้เด็กเกิดความเครียดมากจนเกินไป เพราะจะมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่นได้ เนื่องจากความเครียดเหล่านี้อาจจะพัฒนากลายเป็นโรควิตกกังวลหรือซึมเศร้า หรือในบางรายอาจคิดฆ่าตัวตาย อย่างที่เคยปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ มาแล้วได้

ทั้งนี้ บทบาทสำคัญของพ่อแม่ที่จะช่วยลดความเครียดให้กับลูกได้ อาจเริ่มจาก

1. ต้องมีเวลาให้กับลูกบ้าง โดยการทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ทานข้าวร่วมกัน ออกกำลังกาย ตีแบดมินตัน เทนนิส ว่ายน้ำ ทำงานศิลปะ หรือกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ เพื่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่ลูก เมื่อลูกมีเรื่องไม่สบายใจก็จะสามารถเล่าให้พ่อแม่ฟังได้
2. พยายามพูดให้ความหวังกับลูกเสมอ และ ควรพูดคุยให้กำลังใจหรือชมลูกบ่อยๆ เมื่อเห็นลูกมีการปรับตัวที่ดีขึ้น ไม่ใช่เอาแต่ถามว่าปรับตัวได้หรือยัง พึงระลึกไว้ว่า การที่สอนให้ลูกมองโลกในแง่ดี มีข้อเสียน้อยกว่าสอนให้ลูกมองโลกในแง่ร้าย
3. พ่อแม่จะต้องไม่เร่งลูกเฉพาะด้านวิชาการมากจนเกินไป ควรให้เวลากับลูกในการเรียนรู้ปรับตัวด้านสังคมด้วย ซึ่งพบว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะมองข้ามและเร่งลูกให้เรียนหนังสือกวดวิชาเพิ่ม ซึ่งหลังเลิกเรียนแทนที่เด็กจะได้มีเวลาเล่นกับเพื่อน เด็กต้องไปเรียนพิเศษอีก ทำให้ไม่มีโอกาสได้เล่นกีฬา เดินตลาด กินขนม พูดคุยกับคนรอบข้าง “ทำให้เด็กขาดทักษะการเข้าสังคม” เข้ากับเพื่อนไม่ได้ และไม่รู้ว่าการเข้ากับเพื่อนต้องทำอย่างไรบ้าง
4. พ่อแม่ต้องเรียนรู้ถึงวิธีการสื่อสารหรือวิธีการสอนลูกที่ถูกต้อง ซึ่งแม้ว่าคำแนะนำของพ่อแม่จะเป็นเรื่องถูกต้อง แต่ด้วยวิธีของพ่อแม่และวัยของลูกก็ทำให้ลูกไม่สามารถเข้าใจ หรือทำตามที่ผู้ใหญ่บอกได้ ซึ่งทางที่ดีคือ ผู้ใหญ่ควรที่จะแสดงวิธีการต่างๆ ด้วยตนเองให้ลูกได้เห็น ถ้าไม่มีโอกาสก็อาจจะใช้ในลักษณะของการแสดงบทบาทสมมติ เช่น ถ้า ลูกวัยอนุบาลมีปัญหากลัวการเข้าห้องน้ำ เพราะเด็กที่เคยชินกับการนั่งส้วมแบบมีชักโครกที่บ้าน พอเจอห้องน้ำแบบนั่งยองๆ ที่โรงเรียน ก็อาจจะนั่งไม่เป็นกลัวตก จนไม่อยากไปโรงเรียน ซึ่งพ่อแม่ก็ต้องสาธิตให้เด็กดูว่าจะนั่งได้ปลอดภัยอย่างไร

“การสอนที่เป็นรูปธรรม โดยพ่อแม่ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เหมาะกับเด็กขี้กังวลมากเพราะจะทำให้เด็กมีความสบายใจขึ้นและรู้วิธีที่จะ จัดการจริงๆ เช่น ถ้าลูกวัยเรียนถูกเพื่อนล้อ อันดับแรกควรถามลูกว่าเพื่อนล้ออะไร จากนั้นควรถามว่าลูกได้ทำอย่างไรไปเมื่อถูกเพื่อนล้อวันนี้ เพื่อที่จะได้รู้ว่าลูกเลือกวิธีแก้ปัญหาอย่างไร แต่อย่าเพิ่งตำหนิลูก แล้วหลังจากนั้นพ่อแม่ควรแสดงเป็นตัวอย่างให้ลูกดูว่าหากถูกเพื่อนล้อถ้า เป็นพ่อหรือแม่จะทำอย่างไร โดยพ่อแม่จะต้องแสดงคำพูด สีหน้า แววตา ลักษณะท่าทางที่ดูแข็งขัน กำหมัด ยืดอก อะไรทำนองนี้ ให้เสมือนเป็นเหตุการณ์จริง แล้วจึงค่อยคุยกับลูกว่าคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง ชอบแบบที่พ่อแม่ทำไหม เพราะอะไร ถ้าลูกชอบ อยากทำได้ แล้วค่อยฝึกให้ลูกทำตาม ทำให้ลูกกล้าที่จะมาคุยเวลามีปัญหา เพราะรู้สึกว่าพ่อแม่คอยให้ความช่วยเหลือที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่บ่นว่า แล้วทำให้ยิ่งเครียด” พญ.เพียงทิพย์ กล่าว

ด้านบทบาทของครู จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น บอกว่ามีส่วนสำคัญมากเช่นเดียวกัน ซึ่งถ้าหากทั้งผู้ปกครอง และครู ได้มีการสื่อสารกันแล้ว ครูเป็นผู้ให้คำปรึกษาต่อทั้งเด็กและผู้ปกครอง ก็จะทำให้สามารถจัดการช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาได้อย่างดี

“การจัดปฐมนิเทศเด็กและผู้ปกครองทั้งกลุ่มและแบบเป็นรายบุคคลเป็น สิ่งที่ดี เพื่อชี้ให้ผู้ปกครองเห็นว่า ปัญหาเด็กปรับตัวไม่ได้ กลัวครู ควรที่จะแก้ไขอย่างไร ผู้ปกครองก็จะมีความเข้าใจ และครูเองก็ควรจะพูดเปิดทางให้เด็กทราบว่าเด็กสามารถมาปรึกษาปัญหากับครูได้ โดยครูจะว่างเวลาไหนบ้าง ให้เด็กมาปรึกษาเพราะว่าเด็กบางครั้งก็ไม่รู้ว่าจะเข้าไปหาครูตอนไหน กลัวครูดุ เพราะอาจจะเคยเข้าไปหาตอนที่ครูไม่ว่างแล้วถูกดุ จึงไม่กล้าเข้าไปหาอีก ดังนั้นการที่ทั้งสามฝ่ายมีการสื่อสารกัน มุ่งช่วยให้เด็กมีความสุข จะทำให้สามารถรู้ถึงปัญหาที่แท้จริง และนำไปสู่การแก้ไขได้

“หมอ มักจะแนะนำพ่อแม่ที่ลูกมีปัญหากับเพื่อนให้ปรึกษาครูด้วย เพราะครูจะรู้นิสัยของเด็กคู่กรณีดีกว่าหมอและพ่อแม่ ทั้งนี้หมอเน้นว่าพ่อแม่ ไม่ควรเห็นครูเป็นที่ฟ้องเพื่อให้ไปลงโทษเด็กอีกคนหนึ่ง ควรสอนให้ลูกเห็นครูเป็นที่ปรึกษาหรือเป็นที่พึ่งมากกว่า ไม่ใช่มองว่าครูเป็นที่ฟ้อง เป็นตำรวจหรือผู้พิพากษา เพราะเด็กอาจกลายเป็นเด็กขี้ฟ้องไปเลยก็ได้ ซึ่งไม่ใช่การพึ่งตนเอง ความนับถือตนเองก็ไม่เกิดและทั้งครูและเพื่อนก็ไม่ชอบด้วย”

นอกจากนี้ในช่วงเปิดเทอมสิ่งที่ครูจะช่วยได้อีกประการหนึ่งก็คือ การให้เวลาเด็กในการปรับตัว โดยมุ่งเน้นให้เด็กได้ทำกิจกรรมสานสัมพันธ์แทนการให้การบ้านมาก จนเด็กไม่มีเวลาในการปรับตัว

“ความเครียดของเด็กถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องช่วย อย่าปล่อยปละละเลย หากพบว่าเด็กมีอาการซึมเศร้า ผิดปกติ ควรจะรีบหาทางแก้ไขหรือปรึกษาจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาโดยเร็วที่สุด”

รพ.มนารมย์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

กิน เล่น นอน กลยุทธ์...สร้าง ลูกสมองดี

สมองของคนเรา 80 % จะเติบโตในช่วง 0 - 2 ปีแรก และจะพัฒนาได้ดีจนถึงช่วง 3 ปีแรก ซึ่งเรียกว่าเป็นหน้าต่างของโอกาสที่กำลังเปิดกว้างอย่างเต็มที่ ดังนั้นพ่อแม่จึงต้องกระตุ้นพัฒนาการให้กับลูกอย่างครบถ้วนทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม เพราะเป็นช่วงที่เซลล์สมองมีการพัฒนาอย่างมาก เซลล์สมองส่วนที่ถูกใช้จะอยู่กันอย่างหนาแน่น และจะค่อยๆ เชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพมั่นคง และกระตือรือร้นในการทำงาน ส่งผลให้เด็กมีสมองดีและมีความสุข

จากงานสัมมนาในหัวข้อ เจาะกลยุทธ์...สร้างลูกสมองดี ซึ่งจัดขึ้นโดย นิตยสารรักลูก ร่วมกับโรงพยาบาลบีแคร์ฯ และโรงพยาบาลไทยนครินทร์ มีความรู้ดี ๆ มากมายที่นำมาแบ่งปันกันค่ะ โดย พญ.ดวงรัตน์ วังเกล็ดแก้ว กุมารแพทย์โรงพยาบาลไทยนครินทร์ กล่าวว่า สมอง ดีหมายถึงสมองที่ทำให้เจ้าของเป็นคนดี มีความสุข มีการเรียนรู้ได้ดีตามศักยภาพตามวัย ฉลาดเรียนรู้ได้ดี เอาตัวรอดได้ มีความสร้างสรรค์ แต่ก็ต้องไม่ละเลยเรื่องคุณธรรมและต้องเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นด้วย

โดย ในช่วงขวบปีแรก พ่อแม่ควรดูแลลูกอย่างใกล้ชิด และควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งนอกจากลูกจะได้สารอาหารครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว เวลาที่ลูกอยู่ในอ้อมแขนของแม่ ยังเป็นการกระตุ้นและส่งเสริมประสาทสัมผัสทั้ง 5 ไม่ว่าจะ ตา หู ผิวหนัง จมูก ลิ้น หรือเวลาอุ้มลูกก็ให้อยู่ในระดับที่ลูกสามารถมองแม่ได้ เพราะเป็นช่วงที่ลูกต้องการความรักและความผูกพันจากพ่อแม่ผ่านการพูดคุย เลี้ยงดู และเล่นไปพร้อมๆ กัน

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญในการพัฒนาศักยภาพสมอง คือ กรรมพันธุ์ การเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อม อาหาร แต่ในเด็กที่สมองปกติถ้าขาดการกระตุ้น ขาดการเอาใจใส่ก็จะส่งผลเสียได้ ที่สำคัญการที่เด็กคนหนึ่งจะเป็นเด็กเก่งได้ ไม่ใช่ส่งเสริมเพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องมีการพัฒนาทั้งสติปัญญา กล้ามเนื้อมัดเล็ก (มือ) กล้ามเนื้อมัดใหญ่ (แขน ขา) ภาษา สังคม และอารมณ์ควบคู่กันไปด้วย

ด้าน พญ.อดิศร์สุดา เฟื่องฟู กุมารแพทย์และเชี่ยวชาญด้านพัฒนาการ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีได้กล่าวเสริมว่า สมองของคนเรามีอิทธิพลอย่างมากในการเรียนรู้ ต่อความฉลาด บุคลิกภาพ และสภาพจิตใจของเด็กทั้งหมด การที่เด็กสมองดีควรจะมีการเรียนรู้ ได้ดีตามศักยภาพตามวัยของเขา และก็มีวิธีการคิดที่มีเหตุผล มีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่

“ช่วงวัยที่สมองลูกกำลังพัฒนาพ่อแม่ต้องให้โอกาสลูกได้เรียนรู้และ ลองทำในสิ่งใหม่ๆ และส่งเสริมตามพัฒนาการ ง่ายๆ เช่นการเลือกนิทานให้เหมาะสมกับอายุ ก็เป็นเรื่องจำเป็น ในช่วงอายุตั้งแต่ 6 เดือนจนถึง 1-2 ขวบ หนังสือรูปภาพและหนังสือที่เป็นสอนคำศัพท์ก็จะเหมาะกับช่วงนี้”

“ในช่วงอายุ 3 ขวบในช่วงนี้เขาจะเริ่มมีพัฒนาการทางด้านจิตนาการ จะสังเกตุได้จากการที่เข้าเริ่มกลัวโน่นกลัวนี่หนังสือที่จะเหมาะสมและแนว ที่ชอบก็จะเป็นพวกเจ้าหญิงเจ้าชาย คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องดูด้วยว่าตัวของลูกเราชอบตัวละครตัวไหน เพราะว่าความชอบจะเพิ่มความสนใจให้กับเขามากเป็นพิเศษ”

“นอก จากนี้ต้องไม่ละเลยเรื่องของจิตใจด้วยค่ะ คือให้เข้าใจในความรู้สึกของคนอื่น อย่าให้เขาเป็นคนฉลาดแต่เอาเปรียบคนอื่น จึงอยากให้พ่อแม่ปลูกฝังลูกเรื่องคุณธรรม จริยธรรม เพื่อที่จะให้เขาเข้าใจจิตใจของคนอื่น เพราะว่าการที่โตขึ้นจะเก่งอยู่คนเดียว แต่ไม่สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ ก็จะทำให้เขาอยู่ร่วมกับสังคมยาก”

ด้าน พญ.กันดาภา ฐานบัญชา สูตินารีแพทย์ฯ โรงพยาบาล บี.แคร์ เมดิคอลเซ็นเตอร์ ได้แนะนำว่า “การสร้างบรรยากาศในการกินของลูกนั้นควรพร้อมๆ กับคุณพ่อคุณแม่ ชวนลูกกินแล้วยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น “เห็นไหมคุณพ่อก็ทานผัก คุณแม่ก็ทานผัก คุณตาคุณยายก็ท่านผักแล้วลูกทานผักหรือยังค่ะ” ครั้งแรกลูกอาจยังไม่ทาน เราต้องใช้เวลาประมาณถึง 2-3 สัปดาห์ อย่างใจร้อน ค่อยเป็นค่อยไป ใจเย็นๆ อาจต้องใช้การเล่านิทานต้องเลือกนิทานที่มีเนื้อหาของเด็กที่ทานผักแล้วร่าง กายแข็งแรงนะค่ะ เล่าไปให้ฟังสัก 2-3อาทิตย์ลูกก็จะรู้สึกว่ากินผักแล้วก็ดีนะ

ส่วน ในเรื่องของการนอน ง่ายๆ สำหรับพ่อแม่ เริ่มต้นด้วยการฝึกให้เด็กนอนเป็นเวลา ทำกิจกรรมก่อนนอนสม่ำเสมอจนเป็นกิจวัตร เช่น อาบน้ำ นวดสัมผัส หรือสร้างบรรยากาศก่อนนอน เช่น อ่านนิทาน ฟังเพลงหรือกล่อมเบาๆ เพื่อให้รู้สึกอบอุ่น และปลอดภัย ซึ่งวิธีนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าจะช่วยให้ลูกน้อยหลับสนิทและยาวนานยิ่ง ขึ้น และเป็นการฝึกการเข้านอนด้วยตัวเองเป็นการสร้างนิสัย เพื่อพัฒนาการที่ดีของลูกน้อยอีกทางหนึ่ง

เคล็ดลับการเลี้ยงลูกให้ฉลาดและสมองดีนั้น สำคัญที่พ่อแม่ไม่ควรเอาความหวังดีมายัดอัดถมวิชาให้กับลูกจนแน่นเกินไป เพราะนั่นจะเป็นตัวทำลายความคิด และกลบเพชรแท้ในตัวเด็กให้หายไปได้ แต่พ่อแม่ต้องร่วมกันขุดเพชรในตมของลูกมาเจียระไนใหม่ให้งดงาม หมายความว่าถ้าลูกสนใจอะไร พ่อแม่ต้องสนับสนุนเต็มที่เพื่อให้ความโดดเด่นตรงนั้นกลายเป็นเพชรแท้ที่มี คุณค่า และมีประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป…

นิตยสารรักลูก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

4 เกมฝึก "นิสัยและสมอง" ลูกรัก

เกมเป็นสิ่งที่เด็กๆชอบ เพราะให้ทั้งความสนุกสนาน และช่วยผ่อนคลายความเครียดด้วยในเวลาเดียวกัน ยิ่งถ้าเป็นเกมที่เด็กๆได้เล่นกันในครอบครัวระหว่างพี่ๆน้องๆแล้ว เด็กๆมักจะชอบมากเป็นพิเศษ การฝึกสมองและเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่ดีให้แก่เด็กโดยผ่านทางเกมเป็น กิจกรรมที่ผู้ปกครองสามารถเล่นกับเด็กได้ทุกวัน นอกจากนี้การเล่นเกมยังมีประโยชน์ในการให้เด็กๆได้ ฝึกสมอง ได้ออกกำลังกาย ได้แสดงอารมณ์ ซึ่งจะยกตัวอย่างดังนี้

เกมดาวน้อยน่ารัก
เกม นี้เป็นเกมหนึ่งที่เด็กๆทุกคนชอบ เพราะสามารถเล่นได้ง่ายๆโดยเมื่อคุณพ่อคุณแม่เห็นลูกของเรามีพฤติกรรมที่ดี ขึ้นจากเดิม ก็ให้คุณพ่อคุณแม่เขียนรูปดาวลงบนตารางในทันที เช่น พูดเพราะขึ้น ทานอาหารเรียบร้อยขึ้น การช่วยเก็บกวาดทำความสะอาดบ้าน เด็กก็จะได้รับดาว และหากดาวมีครบตามจำนวนอายุของเด็ก คุณพ่อคุณแม่ก็จะให้รางวัลแก่เด็ก เช่น พาไปเที่ยว ให้ขนมหรือของเล่นที่เด็กๆชอบ

เกมเจ้าชายและเจ้าหญิงใบ้
เกม นี้จะช่วยฝึกเด็กๆให้เรียนรู้ถึงสมาธิ ความเงียบ และการใช้เสียงในเวลาที่เหมาะสม ระยะเวลาเริ่มแรกในการเล่นเกมนี้ไม่ควรใช้เวลานานจนเกินไป โดยเริ่มแรกควรตั้งเวลาไว้ประมาณ 20 นาที ให้เด็กๆทำกิจกรรมที่ชอบ อาจเป็นการเล่นกันระหว่างพี่ๆ น้องๆโดยมีกติกาว่าห้ามส่งเสียงหรือพูดกันในระยะเวลาที่กำหนด ในช่วงเริ่มต้นของการเล่นเกมนี้ คุณพ่อ คุณแม่อาจจะต้องเข้ามาสังเกตเด็กๆทุกๆ 2 นาที หรือ 5 นาที และให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆหากเด็กทำกิจกรรมถูกต้องตามกติกาด้วยการไม่ส่งเสียงพูดกันในระยะเวลา ที่กำหนด หลังจากนั้นให้ใช้เวลายาวนานมากขึ้น อาจเพิ่มเวลาเป็นครี่งชั่งโมง หรือ 2 -3 ชั่วโมง แล้วแต่ความเหมาะสม การให้รางวัลทุกครั้งที่เห็นความตั้งใจหรือความพยายามของเด็ก จะเป็นการให้กำลังใจและเสริมแรงให้เด็กได้รับการพัฒนาให้เป็นคนมีสมาธิในการ ทำงานเพิ่มขี้น

เกมขั้วบวก ขั้วลบ
เกมส์นี้เหมาะสำหรับเด็ก Hyperactive เด็กสมาธิสั้น และเด็กออทิสติก วิธีเล่นเกมมีดังนี้ จัดตารางขึ้น 2 ตาราง โดยทำตารางเป็น 2 สีเช่นสีขียว คือตารางทำความดี( ขั้วบวก) และสีแดงเป็นตารางซุกซน ( ขั้วลบ) ทุกครั้งที่คุณพ่อ คุณแม่เห็นเด็กทำความดีเช่น เก็บของเข้าที่ ล้างมือก่อนทานขนม ให้คุณแม่ใส่เครื่องหมายบวกบนกระดานในทันที และเมื่อเห็นเด็กทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่นทิ้งของเรี่ยราดบนพื้น ให้ใส่เครื่องหมายลบลงในตาราง ในเกมนี้คุณพ่อ คุณแม่ต้องสังเกตบ่อยๆหรือทุกชั่วโมงในช่วงช่วงแรกๆ และให้รางวัลเมื่อเด็กมีพฤติกรรมขั้วบวกมากกว่าขั้วลบ

เกมนับไปกินไป
เกมนี้จะช่วยฝึกสมองของเด็กๆในเรื่องของคณิตศาสตร์ โดยเกมนี้สามารถเล่นได้ง่ายๆในโต๊ะอาหาร โดยที่คุณพ่อคุณแม่เตรียมอุปกรณ์คือ ขนมขบเคี้ยวหรือขนมปังชิ้นเล็กๆที่มีขนาดพอคำ โดยคุณพ่อคุณแม่ทำให้เด็กดูเป็นตัวอย่างก่อนในการค่อยๆ นับชิ้นขนมปังทีละชิ้นใส่ลงไปในจานข้างหน้าเด็ก หลังจากนั้นให้เด็กนับขนมแต่ละชิ้นก่อนที่เด็กจะหยิบกิน เชื่อว่าเกมนี้จะให้ทั้งความสนุกสนานและความอร่อย อีกทั้งช่วยฝึกในเรื่องจำนวนนับให้แก่เด็กๆอีกด้วย

การ เล่นเกมถือเป็นกิจกรรมหนึ่งที่นักจิตวิทยาใช้สำหรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็ก ที่มีปัญหาได้ ทั้งยังช่วยฝึกสมอง ประลองปัญญา และสามารถเสริมสร้างพฤติกรรมที่ดีให้แก่เด็กได้อีกวิธีหนึ่ง แต่ข้อควรจำสำหรับคุณพ่อคุณแม่ในการเล่นเกมกับลูกๆนั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือกฎกติกาในการเล่นเกมนั้นควรมีการยืดหยุ่นได้ตามอายุและ พัฒนาการของเด็ก

ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ลูกรักของแม่

วานนี้แม่มีโอกาสผ่านไปทำธุระแถวโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง นึกขึ้นได้ว่าใกล้ๆกันนั้นมีร้านขนมสุดโปรดของคุณพ่อ แม่เลยจำใจต้องเขย่งรองเท้าส้นสูงปรี๊ด (ที่แม่คิดเอาเองว่ามันช่วยให้แม่สง่างามขึ้นแยะ) ดั้นด้นเดินจากปากซอยหน้าโรงเรียนสู่ร้านขนม เดินไปก็มองโน่นนี่ไปเรื่อย...โรงเรียนแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปบ้างเมื่อเทียบ กับหลายปีก่อนที่แม่เคยพาลูกมาเยี่ยมชม...ลูกคงจำไม่ได้แล้วล่ะ..โรงเรียน นี้ชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่สมัยโน้น จนพ่อกับแม่แอบฝัน อยากให้ลูกได้มาร่ำเรียนกับเค้าบ้าง แต่สุดท้ายเราก็พับโครงการนี้ไปเพราะโรงเรียนไกลจากบ้านของเราเหลือเกิน

แม่เชื่อในคุณภาพของโรงเรียนค่ะ..แต่แม่เชื่อในคุณภาพการเลี้ยงดูที่ เรามีเวลาใกล้ชิดกันอย่างผ่อนคลายมากกว่า..แม่ทนไม่ได้ที่จะต้องให้ลูกกินใน รถ โตในรถ..แม้แม่จะเป็นคนใจเย็นกับลูกที่สุด แต่ความเร่งรีบและชีวิตแบบนั้นคงไม่ทำให้เรามีความสุขนักหรอก..

ใครอีกหลายคนคงเชื่อในคุณภาพโรงเรียนเหมือนกับเรา แม่ได้ยินข่าวพ่อแม่แห่กันพาเด็กๆทั้งหลายมาแย่งชิงที่เรียนในโรงเรียนนี้ กันปีละนับพันคน แถมยังมีปรากฏการณ์ชื่อเสียงดี ๆ ของโรงเรียนเกิดขึ้นให้ได้รับรู้อยู่เสมอ เมื่อแม่เดินผ่านไปวานนี้ จึงไม่แปลกใจเลยกับป้ายคัทเอ๊าท์ขนาดบิ๊กบึ้มเชิดชูเกียรติคุณและแสดงความ ยินดีกับนักเรียนคนหนึ่งที่ไปคว้ารางวัลจากการแข่งขันวิชาการระดับโลกมาหมาด ๆ

ใบหน้าของพ่อหนุ่มน้อยในคัทเอ๊าท์นั้นดูแจ่มใส สายตาเป็นประกายด้วยความสุข ..แม่เป็นแค่คนรับรู้ความสำเร็จของเค้าจากแผ่นป้าย..ยังรู้สึกชื่นชม.. ภูมิใจไปด้วยเลย ดีจังที่โรงเรียนทำป้ายนี้ไว้เป็นตัวอย่างแก่เด็ก ๆ ..

หลังแม่ซื้อขนมถุงเบ้อเริ่มสมใจแล้วก็ต้องเดินย่องแย่งกลับมาทางเดิม เจ้าส้นสูงทำให้แม่เดินช้าลงเรื่อย ๆ และเก็บรายละเอียดระหว่างทางได้มากขึ้นด้วย..มีนักเรียนคนแล้วคนเล่าเดินก้ม หน้างุด ๆ แซงแม่ไปทั้งที่แต่ละคนแบกกระเป๋าใบยักษ์บนหลัง..เฮ้อ! เด็กสมัยนี้ต้องแบกบ้านพร้อมที่ดินมาเรียนหรือไร กระเป๋ามันถึงได้ใหญ่โตปานนั้น แต่..เอ๊ะ!เจ้านักเรียนกลุ่มข้างหน้าห้าหกคนนั้นกลับแปลกกว่าใคร ๆ พวกเค้าเดินช้า ๆ คุยกันโขมงโฉงเฉงจนแม่เดินมาทันกันที่หัวมุมโรงเรียนซึ่งคัทเอ๊าท์ใหญ่ยักษ์ นั้นตั้งตระหง่านอยู่ ขณะที่แม่เงยหน้าขึ้นมอง ขอสบตารูปถ่ายของคนเก่งอีกครั้งเหอะ..อยากสารภาพกับลูกจัง..ด้วยความเป็นแม่ ..หรือด้วยอะไรนะที่ทำให้อดคิดไม่ได้..ถ้าหนุ่มน้อยในรูปนั้นเป็นลูกของแม่ ....แม่คงจะ.....

ทันใดนั้น หนึ่งในนักเรียนกลุ่มข้างหน้าก็วาดแขนชี้ไปที่รูปคนเก่งในคัทเอ๊าท์ซึ่งแม่ แสนจะปลาบปลื้ม เสียงตะโกนลั่นของเค้าทำให้ความคิดคำนึงของแม่สะดุดลง เนื้อหาของคำพูดเรียกสติแม่กลับคืนมา

“ข้าเกลียดไอ้หมอนี่จังเลย..เมื่อไหร่มันจะเอาออกไป..เดินผ่านป้ายนี้กับแม่ทีไร ข้าถูกด่าทุกทีเลย..”

“ใจเย็นน่า..อย่างน้อยพวกเราก็รู้ว่านายพยายามที่สุดแล้ว ..คนมันไม่เหมือนกันนี่นา..”

ลูกจ๊ะ..เราสองคนต้องขอบใจหนุ่มเสียงดังกลุ่มนี้ค่ะ..ถ้าไม่มีคำพูด และท่าทีของเค้ามาเตือนสติให้แม่เข้าใจความแตกต่างของมุมมองและความเกรี้ยว กราดจากความคาดหวัง ..เราทั้งคู่คงต้องตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งที่ไร้ประโยชน์อีกครั้ง.. เพราะแม่กำลังตั้งใจจะใช้มือถือถ่ายรูปคัทเอาท์กลับไปให้ลูกดู..แล้วก็ด่า เอ๊ย!..ว่า..ลูกอยู่เหมือนกัน

รักลูกเสมอ..แม้บางครั้ง..หรือบ่อยครั้ง..แม่จะต่อว่าลูกมากไปหน่อย

หมออัมพร
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์