08 กรกฎาคม 2552

การช่วยเหลือ แบ่งปัน

แบบทดสอบก่อนและหลังการพัฒนาโดยใช้ชุดฝึกกิจกรรมสร้างสรรค์

หัวข้อ การช่วยเหลือ แบ่งปัน

คำชี้แจง ให้นักเรียนวงกลมข้อที่ถูกที่สุด

1. จากภาพข้อใดเป็นการแบ่งของใช้ให้เพื่อน

ก. ให้เพื่อนยืมไม้บรรทัด



ข. เด็กนั่งร้องไห้



ค. เด็กผู้หญิงแย่งของจากเพื่อน



2. ข้อใดเป็นการแบ่งปันผู้อื่น


ก. แบ่งของเล่นให้เพื่อน

ข. แย่งของจากเพื่อน
ค. นั่งเล่นกับเพื่อน


3. ข้อใดเป็นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น


ก. เด็กถูกทำโทษ

ข. เด็กทะเลาะวิวาทกัน
ค. เด็กนั่งร้องไห้เพื่อนเอาขนมมาให้


4. ข้อใดไม่ควรปฏิบัติต่อเพื่อน
ก. เด็กแลกเปลี่ยนของเล่นกัน
ข. อย่ามาเล่นของฉันนะ


ค. เด็กกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งเล่นของเล่นกันอยู่

5. ภาพใดเป็นการช่วยเหลือเพื่อนที่หกล้ม

ก. เพื่อนหกล้มช่วยพยุงเพื่อนให้ลุกขึ้น

ข. เพื่อนหกล้มตำหนิเพื่อน
ค. เพื่อนหกล้มเตะเพื่อน
6. ภาพใดเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ก.ช่วยกันทำงาน

ข.นั่งดูโทรทัศน์




ค. เล่นฟุตบอล




หมายเหตุ ผู้วาดรูปประกอบ เด็กชายธวัช ช่วยมี และ เด็กหญิงจุรุมน หมิ่นโอชา โรงเรียนบ้านควนสระแก้ว ตำบลนาโต๊ะหมิง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง

01 กรกฎาคม 2552

การปฏิบัติตามข้อตกลงของกลุ่ม

แบบทดสอบก่อนและหลังการพัฒนาโดยใช้ชุดฝึกกิจกรรมสร้างสรรค์

หัวข้อ การปฏิบัติตามข้อตกลงของกลุ่ม

คำชี้แจง ให้นักเรียนวงกลมข้อที่ถูกที่สุด

1. ภาพใดแสดงถึงความมีระเบียบวินัย

ก. นักเรียนทะเลาะกัน





ข. นักเรียนเดินแตกแถว


ค. นักเรียนเดินเข้าห้องเรียนอย่างมีระเบียบ





2. ในขณะที่คุณครูกำลังสอนหนังสือนักเรียนควรปฏิบัติตนอย่างไร

ก. เด็กบางคนอ่านหนังสือ บางคนเล่นของเล่น


ข. นักเรียนนั่งเล่นกัน
ค. นักเรียนตั้งใจฟังคุณครู

3. ข้อใดเก็บสิ่งของไว้ในตู้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ก. เล่นเสร็จแล้วเก็บของไว้ในตู้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


ข. เล่นเสร็จแล้วไม่เก็บของเล่นให้เรียบร้อย

ค. เก็บของไปกองไว้รวมกัน



4. ข้อใดทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นโดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน


ก. เด็กเดินลัดสนาม


ข. เด็กทิ้งขยะลงบนสนาม

ค. เด็กช่วยกันเก็บขยะกลางสนาม


5. ภาพในข้อใดที่นักเรียนต้องปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน

ก. เด็กทุกคนเข้าแถวเคารพธงชาติเรียบร้อย


ข. เด็กบางคนมาเข้าแถว บางคนกำลังเดินอยู่
ค. เด็กกำลังเดินบนถนนไม่รีบมาโรงเรียน

6. จากรูปข้อใดควรปฏิบัติมากที่สุด
ก. เด็กช่วยกันทำงาน
ข. เล่นแล้วไม่เก็บ
ค. เด็กเล่นของเล่นและทำขยะสกปรก



หมายเหตุ ผู้วาดรูปประกอบ เด็กชายธวัช ช่วยมี และ เด็กหญิงจุรุมน หมิ่นโอชา โรงเรียนบ้านควนสระแก้ว ตำบลนาโต๊ะหมิง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง

ทำไมนะ…ลูกเราถึงไม่ฉลาด

ความฉลาด (Intelligence) หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการเรียนรู้สิ่งต่างๆและความสามารถในการจัดการดูแล แก้ไขกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามทฤษฎี Successful Intelligence ของโรเบิร์ต เจ. สตอร์นเบอร์ก (Robert J. Sternberg) กล่าวว่า ความฉลาดของคนเรานั้นมีอยู่ 3 ด้าน ซึ่งได้แก่

1. ความฉลาดเชิงสร้างสรรค์(Creative Intelligence) หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการนำความรู้ที่ได้รับผ่านทางประสบการณ์ต่างๆมา ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างสร้างสรรค์ โดยการคิดค้นสิ่งใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและคนรอบข้างให้เกิดขึ้น

2. ความฉลาดเชิงประสบการณ์(Experiential Intelligence) หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการคิดวิเคราะห์ การพิจารณาข้อดีข้อด้อยและการแก้ปัญหาเมื่อประสบกับอุปสรรคต่างๆ โดยนำประสบการณ์ที่เคยได้เรียนรู้มา นำมาปรับใช้ในการประเมินและในการวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ความฉลาดเชิงปฏิบัติจริง (Practical Intelligence) หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการปรับเอาแนวคิดเชิงทฤษฎีให้สามารถนำมาปฏิบัติได้จริง ซึ่งคนที่มีความฉลาดในเชิงปฏิบัติจริงจะมีความสามารถในการเอาตัวรอดและ จัดการกับเรื่องต่างๆในชีวิตประจำวันได้ดี

โดย หลักแล้ว ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดความฉลาดของคนเรามีอยู่ 2 ประการคือ
1) พันธุกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด และ
2) สิ่งแวดล้อม ซึ่งได้แก่ การอบรมเลี้ยงดู อาหารการกิน ฐานะทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของครอบครัว แต่ ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าความฉลาดจะเกิดจากสิ่งใดก็แล้วแต่ ความฉลาดเป็นสิ่งที่พัฒนาได้และสามารถพัฒนาได้ดีตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัย 3 ปีแรกนั้น สมองจะเจริญเติบโตและพัฒนาได้มากถึง 80% ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่อยากให้ลูกฉลาดจึงควรต้องใส่ใจดูแลเขาอย่างมาก พร้อมทั้งป้องกันสิ่งที่เป็นอุปสรรคที่จะทำให้สมองของลูกเราไม่พัฒนา

ซึ่งปัจจัยที่อาจส่งผลให้ลูกของเราเป็นเด็กไม่ฉลาดหรือสมองไม่พัฒนา มีตัวอย่างดังนี้

1. เด็กได้รับสารอาหารไม่ครบทั้ง5หมู่ สารอาหาร 5 หมู่ ได้แก่ โปรตีน ที่ได้จากนม เนื้อสัตว์ และธัญพืชชนิดต่างๆ คาร์โบไฮเดรตที่ได้จากแป้งและข้าว วิตามินและเกลือแร่จากผักผลไม้ และไขมันที่ได้จากพืช การที่เด็กได้รับสารอาหารไม่ครบทั้ง 5 หมู่นั้น นอกจากจะส่งผลทำให้ร่างกายของเด็กอ่อนแอ ไม่เติบโตสมวัยแล้ว ยังทำลายความเจริญเติบโตของสมองซึ่งนั่นคือการทำลายความฉลาดของเด็กโดยตรง อีกด้วย

2. สภาพแวดล้อมที่เป็นมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษจากควันบุหรี่ ควันพิษจากท่อไอเสียรถยนต์ หรือสารตะกั่ว สารปรอทจากโรงงาน สารพิษเหล่านี้ไม่ได้ทำลายเฉพาะร่างกายและสมองของเด็กเท่านั้น แต่ยังเป็นพิษเป็นภัยต่อร่างกายและสมองของคนทุกเพศทุกวัยด้วย

3. เด็กขาดการสัมผัสกับสังคม เกิดจากการที่พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก ความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นแบบต่างคนต่างอยู่ พ่อแม่ไม่เคยเล่นกับลูกหรือมีการพูดคุยกับลูกน้อยมาก ทำให้ลูกขาดการพัฒนาในด้านภาษาและในด้านมนนุษยสัมพันธ์ ทำให้มีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น ซึ่งถือเป็นสาเหตุที่สำคัญสาเหตุหนึ่งที่สกัดกั้นความฉลาดของเด็กเพราะเด็ก จะขาดโอกาสที่จะเรียนรู้แลกเปลี่ยนนั่นเอง

4. เด็กขาดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดี เช่น พ่อแม่ไม่ค่อยพาลูกไปเปิดหูเปิดตารับประสบการณ์จากแหล่งเรียนรู้ข้างนอกบ้าน หรือไม่สนับสนุนให้มีสื่อและกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีซึ่งเด็กเล็กๆตั้งแต่ วัยอนุบาลควรจะได้รับ เช่น หนังสือนิทาน กิจกรรมดนตรี กิจกรรมศิลปะ การออกกำลังกาย

5. เด็กมีสุขภาพจิตไม่ดี เกิดจากการที่เด็กขาดความรัก ความอบอุ่นในครอบครัว หรือบางกรณีอาจได้รับการเลี้ยงดูที่เข้มงวดมากจนเกินไปและบังคับให้เด็กต้อง ทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบหรือไม่ถนัด ส่งผลทำให้เด็กเกิดความเครียด มีความวิตกกังวลสูง มองตัวเองในแง่ลบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนยาพิษที่ทำลายความฉลาดของเด็ก เพราะเด็กที่อยู่ในอารมณ์โกรธหรือซึมเศร้าเป็นเวลานานๆนั้น สมองจะหลั่งสารคอร์ติซอล(Cortisol)ซึ่งเป็นฮอร์โมนเครียดที่มีฤทธิ์ในการ ทำลายความเจริญเติบโตของสมองเด็ก ทำให้การพัฒนาความฉลาดของเด็กถูกยับยั้งลง

ผู้ เขียนมีความเชื่อว่า ความฉลาดของลูกอยู่ที่การเลี้ยงดูของพ่อแม่เป็นสำคัญ อย่าท้อแท้ที่วันนี้ลูกของเราอาจจะยังไม่เก่งหรือยังไม่ฉลาด เพราะหากคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูเขาด้วยความรักและเอาใจใส่แล้ว ความฉลาดนั้นก็จะพัฒนาขึ้นมาได้ และที่สำคัญอย่าลืม

“3 ส” นี้ คือ

1. ส่งเสริมในสิ่งที่ดี
2. สนับสนุนในสิ่งที่เป็น ประโยชน์ และ
3. สร้างภูมิคุ้มกันจากสิ่งเลวร้ายทั้งปวง แค่นี้ลูกของเราก็จะฉลาดได้อย่างแน่นอน

ดร.แพง ชินพงศ์ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เพราะอะไร ทำให้"เด็กกลัวโรงเรียน"

ผ่านมาแล้วเกือบสองเดือนกับการเปิดเทอม ของเด็ก ๆ แต่ก็ยังมีเด็กบางคนที่มักจะร้องไห้ตอนเช้า ๆ เสมอ เมื่อรู้ว่าตนเองนั้น
"ต้องไปโรงเรียน"

อาการ "กลัวโรงเรียน" พบได้เมื่อใดบ้าง
1. เกิดขึ้นตอนเข้าโรงเรียนใหม่ ๆ ทั้งนี้เพราะเด็กแต่ละคนมีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมแตก ต่างกัน เร็วบ้างช้าบ้าง ซึ่งอาการไม่อยากไปโรงเรียนของเด็กถือเป็นเพียงปัญหาในการปรับตัวของเด็ก เท่านั้น
2. เกิดขึ้นเมื่อเด็กไปโรงเรียนได้ระยะหนึ่งแล้ว

ในกรณีนี้ถือเป็นความผิดปกติทางอารมณ์ในเด็ก อาจเกิดจากความกังวลที่ต้องแยกจากบุคคลใกล้ชิด เช่น มารดา ส่วนสาเหตุที่ทำให้เด็กเกิดความรู้สึกเช่นนั้นเพราะ
- เด็กได้รับการเลี้ยงดูแบบทนุถนอมเกินไป พ่อแม่เป็นห่วงเด็กมาก ไม่ยอมให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง เด็กจะได้รับความรู้สึกพึ่งพา มีพ่อแม่เข้ามาอยู่ในจิตใจ และมีความกังวลต่อการแยกจากสูง
- ได้รับการเลี้ยงดูแบบตามใจมาก เด็กจะกลายเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ชอบสบายในบ้านมากกว่าจะยอมมาลำบากที่โรงเรียน
- ครอบครัวมีปัญหา เช่น พ่อแม่ทะเลาะกันบ่อย ครอบครัวหย่าร้าง
- เผชิญกับความเครียดบางอย่างจากโรงเรียน เช่น ถูกครูดุ การบ้านเยอะ เพื่อนแกล้ง
- เกิดเรื่องราวที่ไปกระตุ้นความรู้สึกว่าจะถูกแยกจาก เช่น ถูกขู่ว่าพ่อแม่จะไม่รัก มีน้องใหม่ พ่อแม่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ

สำหรับพฤติกรรมที่แสดงออกให้ทราบว่าเด็กเกิดอาการไม่อยากไปโรงเรียน นั้น มีทั้งแบบเฉียบพลัน หรือแบบค่อยเป็นค่อยไป ยกตัวอย่างเช่น ร้องไห้งอแง โอ้เอ้ ลุกจากที่นอนช้า แต่งตัวช้า ในตอนเช้า โดยเฉพาะเช้าวันจันทร์ หรือมีอาการทางกายร่วมด้วยเช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง อาเจียน

หาก ยอมให้เด็กอยู่บ้าน อาการเหล่านี้มักจะรุนแรงขึ้น เพราะเด็กจะได้รับความพอใจ และยิ่งปรับตัวให้เข้ากับโรงเรียนได้ยากขึ้นอีก ดังนั้นต้องให้เด็กกลับไปเรียนโดยเร็ว

แนวทางการแก้ไขก็คือ พ่อแม่ต้องใจแข็งต่อเสียงร้องไห้ หรือน้ำตาของลูก ยืนยันให้ลูกไปโรงเรียน แต่ไม่ควรเปรียบกับเด็กคนอื่น ๆ งดการขู่ การหลอกล่อ หรือให้รางวัล

ครูเองก็มีความสำคัญที่จะบรรเทาการกลัวให้ลดลงได้ ครูควรไปรับเด็กจากแม่ พร้อมแนะนำให้แม่กลับบ้านทันที จากนั้นก็ปลอบใจเด็ก และอาจลดความเข้มงวดบางเรื่องลง แต่ไม่ใช่การให้อภิสิทธิ์กับเด็ก และไม่ควรปล่อยให้เพื่อนล้อเลียนเด็กคนนั้นด้วย

ส่วน การแก้ไขระยะยาวนั้น พ่อแม่อาจต้องสนับสนุนให้เด็กได้ทำกิจกรรมร่วมกับเด็กคนอื่น ๆ บ้าง เช่น เข้าค่ายฤดูร้อน พาไปเล่นกับกับเพื่อนคนอื่น ๆ และควรหัดให้เด็กมีความรับผิดชอบภายในบ้าน เช่น ทำความสะอาดบ้าน เก็บข้าวของ และชมเชยเมื่อลูกทำได้ ก็จะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในตนเอง และเลิกกลัวโรงเรียนได้ในที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจากสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

7 อุปนิสัยสร้างเด็กให้ประสบความสำเร็จ

เป็นอีกหนึ่งทิปดี ๆ จากเว็บไซต์ Education.com ที่เรานำมาฝากกันค่ะ เกี่ยวกับการสร้างอุปนิสัยเพื่อให้เด็กประสบความสำเร็จในอนาคตเมื่อเขาโต ขึ้น ซึ่งอุปนิสัยเหล่านั้นจะมีอะไรบ้าง ลองติดตามกันได้เลยค่ะ

เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่มีความมั่นใจ สามารถควบคุมสถานการณ์ต่าง ๆ ได้
ความมั่นใจเป็นกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกเด็กวัยรุ่นสู่อิสรภาพ รวมถึงปลดปล่อยความสามารถในด้านอื่น ๆ ของตนเองออกมา พ่อแม่จึงควรสนับสนุนให้ลูกวัยรุ่น หรือวัยพรีทีนมีโอกาสแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยตัวเอง และรับผิดชอบชีวิตของตนเอง เด็กที่มีความมั่นใจจะเข้าใจว่า ตัวเขาเองคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย และเขาจะไม่กลายเป็นเด็กที่ชอบโทษคนอื่น หรือสิ่งอื่นว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาด้วย

เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่มีเป้าหมายในชีวิต
เด็กวัยรุ่น หรือเด็กวัยพรีทีนจำนวนไม่น้อยเกิดความสับสนเกี่ยวกับเป้าหมายของชีวิต และคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ เขาอาจไม่ทราบว่า ทำไมเขาถึงต้องทำสิ่งนี้ เขาจะประสบความสำเร็จไปเพื่อใคร และอาจมองชีวิตว่าเป็นการเดินทางที่ไร้จุดหมายแน่นอน ในจุดนี้ หากพ่อแม่ช่วยลูกสร้างเป้าหมายในชีวิต หรือแนะแนวทางในการตัดสินใจเลือกเส้นทางเดินชีวิตได้ก็จะช่วยให้ชีวิต และทางเดินของเขามีคุณค่าต่อตัวเองและต่อสังคมมากยิ่งขึ้น

เด็กที่ประสบความสำเร็จคือคนที่รู้จักจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง
เด็กที่รู้จักจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง และรู้จักการบริหารเวลา จะทำให้เขาสามารถพุ่งความสนใจในสิ่งที่ควรให้ความสนใจเป็นอันดับแรก และทำมันได้สำเร็จ อีกทั้งความหมายของหัวข้อดังกล่าวยังมองไปถึงการก้าวข้ามความกลัว ซึ่งเป็นอุปสรรคในการตัดสินใจในช่วงเวลาสำคัญ ๆ ได้อีกด้วย

เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่มีแนวคิดแบบ Win-Win
ในโลกใบนี้ การต้องมีผู้แพ้-ผู้ชนะในการแข่งขันดูจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันจะดีมากกว่า หากเด็ก ๆ ได้เรียนรู้การทำให้เกิดผู้ชนะทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครเป็นฝ่ายแพ้ เด็กจะได้เรียนรู้จากบรรยากาศที่ทุกฝ่ายสามารถฉลองชัยร่วมกันได้ แทนที่จะต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถูกเยาะเย้ยจากความพ่ายแพ้

เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่รู้จักฟัง
ปัญหาที่เกิดขึ้นมากมายบนโลกใบนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราไม่รับฟังคนอื่นมากพอ จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน การฝึกการฟังให้เด็กเป็นผู้ฟังอย่างมีสติ จับประเด็นได้ถูกต้อง จะทำให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิตได้ง่ายและเร็วกว่าคนอื่น

เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่ทำงานเป็นทีมได้
การทำงานเป็นทีมมักให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการทำงานเพียงคนเดียวหลายเท่า พันทวี และมักสร้างสิ่งดี ๆ ให้เกิดแก่สังคมได้มากมาย เด็กที่จะผ่านจุดนี้ไปได้นั้น ต้องเรียนรู้ให้มากกว่าการยึดเอาตามความคิดของ "ฉัน" หรือความคิดของ "เธอ" แต่เป็นการรวมสมองเพื่อมองหาทางที่แตกต่าง ทางใหม่ ๆ ที่ทุกคนสามารถได้รับประโยชน์โดยเท่าเทียมกัน

เด็กที่ประสบความสำเร็จคือเด็กที่มีวิสัยทัศน์
เด็กวัยพรีทีนหรือวัยรุ่น เป็นช่วงที่ยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก และพร้อมสำหรับการรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิต ซึ่งในจุดนี้ทำให้เขาพร้อมที่จะพัฒนาศักยภาพ และวิสัยทัศน์ให้เฉียบคม เพื่อที่เขาจะนำมันไปใช้รับมือกับอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิตต่อไป

เรียบเรียงจาก education.comโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

อาหารบำรุงสมอง

พ่อ แม่ทุกคนอยากให้ลูกได้เติบโตอย่างสมบูรณ์ ร่วมกับการมีสมองที่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ จนบ่อยครั้งที่ยอมจ่ายเงินครั้งละมากๆ เพื่ออาหารเสริมที่มักจะอวดสรรพคุณว่าช่วยบำรุงสมอง หรือบางครั้งพาลูกเข้าร่วมกิจกรรมที่โฆษณาว่าจะช่วยพัฒนาสมอง บริษัทที่ขายผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนช่วยบำรุงสมองเลยสักนิด ก็มักจับกระแสนี้ โดยโหมโฆษณาที่เน้นถึงการพัฒนาของสมองและก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่หลงเชื่อตาม แรงโฆษณาเหล่านี้ จึงรู้สึกเสียดายเงินแทนผู้ปกครองที่ยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้

จะขอเริ่มจากไขมันจากปลาทะเลโดยเฉพาะกรดไขมัน DHA เพราะมีการศึกษาออกมามากมายว่า มีส่วนทำให้ทารกในวัย 1 ขวบปีแรกมีพัฒนาการเร็วขึ้น เมื่อได้รับ DHA อย่างเพียงพอ จากการศึกษาปริมาณ DHA ในนมแม่ของหญิงไทย ทั่วประเทศที่ผมและคณะทำการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า ในนมแม่ของหญิงไทยทุกภาคมีปริมาณ DHA ที่สูงและมีมากกว่าน้ำนมแม่ของคนแถบยุโรปและอเมริกาเสียอีก โดยหญิงไทยเหล่านี้ไม่ได้กินอาหารทะเลมากเป็นพิเศษ จึงไม่ต้องเป็นห่วงมากเกินไปว่าต้องกินปลาทะเลหรือไขมันจากปลาทะเลเสริมในช่วงให้นมแม่ อาจเป็นเพราะหญิงไทยสามารถสร้างไขมัน DHA จากน้ำมันพืชที่กินเข้าไปก็ได้

สำหรับนมผงสำหรับทารก ที่ระยะหลังนี้จะเริ่มแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ ชนิดดั้งเดิม และกลุ่มหลังคือ ชนิดที่มีการเติม DHA โดยกลุ่ม หลังนี้มักจะแพงกว่ากลุ่มแรกกระป๋องละ 30-40 บาท (ในขนาดกระป๋องละ 400 กรัม) ผู้ปกครองที่มีฐานะปานกลางขึ้นไปก็มักจะไม่เสียดายเงินที่ต้องจ่ายมากขึ้น จึงมักซื้อชนิดที่แพงกว่าเพราะคิดว่าสมองของลูกจะมีการพัฒนาที่ดีกว่า แต่จากการศึกษาจนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าจำเป็นต้องมี DHA ในนมผง สำหรับทารกในกลุ่มที่กินนมที่มี DHA อาจจะมีการพัฒนาเร็วกว่าอีกกลุ่มเล็กน้อย แต่กลุ่มที่ไม่มีได้กิน DHA ก็จะมีพัฒนาการที่ไล่ทันเมื่ออายุ 1-2 ขวบ ทั้งนี้เป็นเพราะทารกก็สามารถสร้าง DHA ขึ้นมาได้เองภายในร่างกาย จากข้อมูลขณะนี้จึงมีน้ำหนักไม่เพียงพอที่จะบังคับให้ทุกบริษัทต้องเติม DHA ลงไปในนมผงสำหรับทารก

การ ที่ลูกได้รับนมแม่หรือได้รับนมผงร่วมกับการให้อาหารเสริมที่มีความหลากหลาย ตามเวลา และมีความเพียงพอใน 1 ขวบปี ก็จะทำให้สมองของลูกได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ และเมื่อร่วมกับการอยู่ใกล้ชิด เล่นกับลูกก็จะช่วยพัฒนาเครือข่ายเส้นใยประสาทภายในสมองของลูกได้อย่างเต็ม ที่ การเล่นกับลูกเมื่อลูกตื่นตามแต่ละอายุของลูกนั้น ขอเรียกพ่อและแม่นั้นว่าเป็น “Biotoys” พูดง่ายๆ ก็คือ พ่อหรือแม่คือ “ของเล่นที่มีชีวิตที่ดีที่สุดของลูก” มีคนจำนวนมากซื้อของเล่นต่างๆ มาให้ลูก โดยของเล่นแต่ละชิ้นมักจะระบุว่าเหมาะกับลูกอายุเท่าไหร่ แต่จากประสบการณ์ของผมแล้ว ผมอยากให้ Biotoys นี้เป็นของเล่นหลักของลูกมากกว่า 80% ของเวลาที่ลูกตื่นขึ้นมา

ในวัยอายุ 2-3 ปี เป็นช่วงที่สมองของลูกมีการเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ มีเส้นใยประสาทเชื่อมต่อกันมากมาย วัยนี้เป็นวัยที่เหมาะที่จะส่งเสริมกิจกรรมทุกๆ ด้าน กิจกรรมทุกๆ ด้านนี้อาจหมายถึง กีฬา ดนตรี ศิลปะ หรือการเต้นก็ได้ แต่เราก็ไม่สามารถฝืนพื้นฐานของสมองของเขาได้ พื้นฐานสมองของลูกแต่ละคนนี้มีพันธุกรรมเป็นตัวกำหนด เช่น พ่อและแม่เป็นนักดนตรีทั้งคู่ ลูกก็จะมีความสามารถในการเข้าถึงดนตรีเป็นพื้นฐานได้ดีกว่าเด็กอื่น จะมาส่งเสริมให้เขาเป็นนักเทนนิสมืออาชีพก็อาจจะไม่เหมาะสมนัก หรือพ่อและแม่ที่เคยเป็นนักเรียนที่เรียนเก่งมาทั้งคู่ ลูกๆ ก็จะมีพื้นฐานทางด้านการคำนวณและความจำที่ดีกว่าเด็กอื่น จะให้มาฝึกเป็นนักกีฬาอาชีพใดอาชีพหนึ่งก็อาจจะประสบผลสำเร็จยากกว่าการเป็น นักวิทยาศาสตร์ หมอ หรือวิศวกร เป็นต้น

ใน วัยอนุบาล คือ วัยที่มีอายุระหว่าง 3-6 ปี เป็นวัยที่เส้นใยภายในสมองเริ่มลดน้อยลง โดยการลดลงของเส้นใยสมองนี้เป็นไปตามพันธุกรรม เส้นประสาทของครอบครัว ดนตรี ลูกก็จะยังคงมีเส้นใยประสาททางด้านดนตรีอยู่มากมาย ขณะที่เส้นใยประสาทของครอบครัวที่เรียนเก่งก็จะมีการเชื่อมโยงสมองทั้งทาง ด้านความจำและด้านคำนวณคงอยู่จำนวนมาก แต่การฝึกใช้บ่อยๆ ของเส้นใยประสาทแต่ละด้านในวัยนี้ ก็จะช่วยให้มีการคงอยู่มากขึ้นกว่าการไม่ส่งเสริมอะไรเลย เช่น การจะฝึกเล่นกีฬาใดกีฬาหนึ่ง ก็ควรเริ่มฝึกในวัยนี้ ทั้งนี้กีฬาแต่ละชนิดต้องการการคงอยู่ของเส้นประสาทไม่เหมือนกัน เมื่อเริ่มฝึกตั้งแต่วัยนี้ ก็จะมีการคงอยู่ของเส้นประสาทที่จำเป็นต้องใช้ในกีฬาชนิดนั้นอย่างครบถ้วน

คำ ถามที่ถามบ่อยว่า มีอาหารอะไรหรือไม่ที่จะช่วยบำรุงสมองในช่วงเป็นนักเรียนและนักศึกษา มีการโฆษณาสินค้ามากมายหลายชนิดที่พยายามสื่อว่า ถ้ากินเข้าไปแล้วจะช่วยบำรุงสมอง แต่จากการศึกษายังไม่มีอาหารเสริมชนิดใดเลยที่ช่วยบำรุงสมอง การให้การดูแลที่ถูกต้องแก่ลูกก็จะช่วยบำรุงสมองของลูกได้

ขั้นแรกคือ การได้นอนพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน เด็กนักเรียนชั้นประถมในช่วงกลางคืนควรนอนอย่างต่ำคืนละ 10 ชั่วโมง และเมื่อให้ตื่นขึ้น ควรกินข้าวเป็นมื้อเช้า จึงควรให้ความสำคัญแก่ข้าวมื้อเช้ามากๆ ควรฝึกให้ลูกกินข้าวสวยร่วมกับกับข้าวสัก 1-2 อย่างและตามด้วยนมอีก 1 แก้ว ลูกก็จะได้สารอาหารต่างๆ ที่จำเป็นอย่างครบถ้วน และเพียงพอต่อการเรียนหนังสือจนถึงเที่ยงวัน แล้วจึงต่อด้วยอาหารมื้อเที่ยง ลูกก็จะไม่อ่อนล้าเกินไปต่อการเรียน ในช่วงชั้นมัธยมศึกษา ลูกควรนอนอย่างน้อยคืนละ 9 ชั่วโมง และควรกินมื้อเช้าเช่นวัยประถม สมองของลูกก็พร้อมที่จะเรียนหนังสือได้ตลอดวัน

คำ ถามสำคัญสุดท้ายก็คือ อาหารอะไรที่พอจะบำรุงสมองสำหรับผู้ใหญ่หรือคนวัยทำงาน วัยผู้ใหญ่จนถึงวัยชรา จะเริ่มพบผู้ใหญ่หรือคนชราหลายคนที่เริ่มหลงๆ ลืมๆ และบางคนเป็นมากจนลืมทุกอย่างแม้กระทั่งชื่อของตัวเอง ที่เราเรียกว่า โรคอัลไซเมอร์ อาหารที่พอจะช่วยป้องกัน หรือบรรเทาโรคนี้ เห็นจะเป็นกลุ่มที่มี วิตามิน เอ ซี อี และธาตุเซเลเนียม โดยวิตามิน เอ และซี นี้มีมากในผักและผลไม้ จึงควรหมั่นกินเป็นประจำทุกมื้อ ส่วนวิตามิน อี นั้นมีมากในน้ำมันพืชและในไขมันจากสัตว์ แต่มีไม่เพียงพอ ผมจึงขอแนะนำให้ทุกคนกินเสริมวันละ 100 มิลลิกรัม ตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไปเลย และในกรณีที่เริ่มมีอาการหลงๆ ลืมๆ ก็ควรเพิ่มการกินวิตามิน อี เป็นวันละ 200-400 มิลลิกรัม ส่วนธาตุเซเลเนียมนั้นมีมากในเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ตับ และไต จึงควรหมั่นกินอาหารเหล่านี้ เป็นประจำเช่นกัน และอย่าลืมออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกๆ วัน เพื่อให้เลือดได้รับการสูบฉีดไปเลี้ยงสมองอย่างทั่วถึง

ที่ กล่าวมาทั้งหมดนี้อาจจะพอสรุปได้ว่า การบำรุงสมองนั้นประกอบด้วย การพักผ่อนที่เพียงพอ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับการกินอาหารที่มีความหลากหลาย คือ มีเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผัก ผลไม้ และนม ส่วนที่มีการโฆษณาสินค้าต่างๆ มากมายว่าสามารถบำรุงสมองนั้น ก็ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเป็นจริงเลย

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2551

พาเด็กๆเข้าครัวกันเถอะ

กิจกรรมเข้าครัวทำอาหาร (cooking) เป็นกิจกรรมหนึ่งที่เด็ก ๆ ชอบมาก ในขณะที่เด็ก ๆ ช่วยคุณพ่อเด็ดผัก ช่วยคุณแม่ผสมเครื่องปรุงต่างๆ หรือการที่เด็ก ๆ ได้คิดค้นวิธีการปรุงอาหารใหม่ ๆ ด้วยตัวเอง เพิ่มส่วนนี้นิด ผสมส่วนนั้นหน่อย เพื่อให้อาหารออกมามีหน้าตาน่ารับประทานแถมมีรสชาติแสนอร่อยถูกใจตัวเองนั้น ทราบหรือไม่ว่าเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์กับเด็ก ๆ หลายด้านดังนี้

เรียนรู้ด้านคณิตศาสตร์

ในการทำอาหารเด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ในด้านคณิตศาสตร์โดยตรงในเรื่องของการชั่ง ตวง วัด การคาดคะเน การนับ การเปรียบเทียบในเรื่องของสี ขนาด และรสชาติ ตลอดทั้งการลำดับขั้นตอนในการทำอาหาร เช่น เวลาทอดไข่เจียว ต้องตอกไข่ลงในถ้วยแล้วตีไข่ หลังจากนั้นก็เทไข่ลงในกระทะที่ใส่น้ำมันร้อนๆ พอไข่สุกก็ใช้ตะหลิวไข่ตักขึ้นมารับประทาน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการเรียนรู้ในเรื่องของคณิตศาสตร์ทั้งสิ้น

เรียนรู้ด้านภาษา

เวลาเด็ก ๆ เข้าครัวก็จะได้เรียนรู้ในด้านภาษาโดยตรง ในเรื่องของการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ จากอุปกรณ์และภาชนะในห้องครัว เช่น ตะหลิว ครก สาก หม้อ เขียง หรือ คำศัพท์จากผักและเครื่องปรุงชนิดต่างๆ เช่น ผักชี ผักบุ้ง โหระพา กระถิน น้ำปลา น้ำมัน น้ำตาล เกลือ

เรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์

ในขณะที่ปรุงอาหารเด็กๆจะได้เรียนรู้ในเรื่องของการสังเกต เช่น สังเกตการเปลี่ยนแปลงของอาหารขณะปรุง ในเรื่องของการสัมผัส เช่น การสัมผัสเปรียบเทียบระหว่างอาหารที่ร้อนและอาหารที่เย็น ในเรื่องของการดมกลิ่น และการชิมรสชาติของอาหารชนิดต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของการทดลองซึ่งเป็นการเรียนรู้ในแง่ของวิทยา ศาสตร์โดยตรง

เรียนรู้ด้านวัฒนธรรม

การปรุงอาหารของภาคต่างๆ เช่น การช่วยคุณแม่ทำน้ำพริกอ่องของภาคเหนือ การช่วยคุณพ่อตำส้มตำทำปลาร้าแจ่วของภาคอีสาน การช่วยคุณยายทำแกงไตปลาของภาคใต้ การช่วยคุณย่าทำแกงไก่ใส่กะทิของภาคกลาง ซึ่งกิจกรรมทำอาหารต่าง ๆ เหล่านี้ช่วยให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ความแตกต่างในเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของแต่ละภาค

นอกจากนี้กิจกรรมเข้าครัวยังช่วยพัฒนาทักษะให้กับเด็กๆในเรื่องของ ศิลปะ การออกแบบ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ตลอดทั้งการเรียนรู้ในด้านโภชนาการ การทำงานร่วมกับผู้อื่น การฝึกกล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กในการเคลื่อนไหวหยิบจับสิ่งต่างๆได้ อย่างคล่องแคล่ว

กิจกรรม การเข้าครัวทำอาหารเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์และเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ทักษะในด้านต่าง ๆ อย่างมากมาย ดังนั้นคุณพ่อ คุณแม่ไม่ควรพลาดโอกาส เมื่อเวลาจะเข้าครัวเมื่อไหร่ ก็อย่าลืมเรียกเจ้าตัวเล็ก ติดตามไปด้วย เพราะไม่เพียงแต่ลูกจะได้เรียนรู้ทักษะที่สำคัญในชีวิตเท่านั้น แต่ยังเรียนรู้บทเรียนหลากหลาย พร้อมทั้งมีความสุข สนุกสนานควบคู่กันค่ะ

ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์