01 กรกฎาคม 2552

อาหารบำรุงสมอง

พ่อ แม่ทุกคนอยากให้ลูกได้เติบโตอย่างสมบูรณ์ ร่วมกับการมีสมองที่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ จนบ่อยครั้งที่ยอมจ่ายเงินครั้งละมากๆ เพื่ออาหารเสริมที่มักจะอวดสรรพคุณว่าช่วยบำรุงสมอง หรือบางครั้งพาลูกเข้าร่วมกิจกรรมที่โฆษณาว่าจะช่วยพัฒนาสมอง บริษัทที่ขายผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนช่วยบำรุงสมองเลยสักนิด ก็มักจับกระแสนี้ โดยโหมโฆษณาที่เน้นถึงการพัฒนาของสมองและก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่หลงเชื่อตาม แรงโฆษณาเหล่านี้ จึงรู้สึกเสียดายเงินแทนผู้ปกครองที่ยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้

จะขอเริ่มจากไขมันจากปลาทะเลโดยเฉพาะกรดไขมัน DHA เพราะมีการศึกษาออกมามากมายว่า มีส่วนทำให้ทารกในวัย 1 ขวบปีแรกมีพัฒนาการเร็วขึ้น เมื่อได้รับ DHA อย่างเพียงพอ จากการศึกษาปริมาณ DHA ในนมแม่ของหญิงไทย ทั่วประเทศที่ผมและคณะทำการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า ในนมแม่ของหญิงไทยทุกภาคมีปริมาณ DHA ที่สูงและมีมากกว่าน้ำนมแม่ของคนแถบยุโรปและอเมริกาเสียอีก โดยหญิงไทยเหล่านี้ไม่ได้กินอาหารทะเลมากเป็นพิเศษ จึงไม่ต้องเป็นห่วงมากเกินไปว่าต้องกินปลาทะเลหรือไขมันจากปลาทะเลเสริมในช่วงให้นมแม่ อาจเป็นเพราะหญิงไทยสามารถสร้างไขมัน DHA จากน้ำมันพืชที่กินเข้าไปก็ได้

สำหรับนมผงสำหรับทารก ที่ระยะหลังนี้จะเริ่มแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ ชนิดดั้งเดิม และกลุ่มหลังคือ ชนิดที่มีการเติม DHA โดยกลุ่ม หลังนี้มักจะแพงกว่ากลุ่มแรกกระป๋องละ 30-40 บาท (ในขนาดกระป๋องละ 400 กรัม) ผู้ปกครองที่มีฐานะปานกลางขึ้นไปก็มักจะไม่เสียดายเงินที่ต้องจ่ายมากขึ้น จึงมักซื้อชนิดที่แพงกว่าเพราะคิดว่าสมองของลูกจะมีการพัฒนาที่ดีกว่า แต่จากการศึกษาจนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าจำเป็นต้องมี DHA ในนมผง สำหรับทารกในกลุ่มที่กินนมที่มี DHA อาจจะมีการพัฒนาเร็วกว่าอีกกลุ่มเล็กน้อย แต่กลุ่มที่ไม่มีได้กิน DHA ก็จะมีพัฒนาการที่ไล่ทันเมื่ออายุ 1-2 ขวบ ทั้งนี้เป็นเพราะทารกก็สามารถสร้าง DHA ขึ้นมาได้เองภายในร่างกาย จากข้อมูลขณะนี้จึงมีน้ำหนักไม่เพียงพอที่จะบังคับให้ทุกบริษัทต้องเติม DHA ลงไปในนมผงสำหรับทารก

การ ที่ลูกได้รับนมแม่หรือได้รับนมผงร่วมกับการให้อาหารเสริมที่มีความหลากหลาย ตามเวลา และมีความเพียงพอใน 1 ขวบปี ก็จะทำให้สมองของลูกได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ และเมื่อร่วมกับการอยู่ใกล้ชิด เล่นกับลูกก็จะช่วยพัฒนาเครือข่ายเส้นใยประสาทภายในสมองของลูกได้อย่างเต็ม ที่ การเล่นกับลูกเมื่อลูกตื่นตามแต่ละอายุของลูกนั้น ขอเรียกพ่อและแม่นั้นว่าเป็น “Biotoys” พูดง่ายๆ ก็คือ พ่อหรือแม่คือ “ของเล่นที่มีชีวิตที่ดีที่สุดของลูก” มีคนจำนวนมากซื้อของเล่นต่างๆ มาให้ลูก โดยของเล่นแต่ละชิ้นมักจะระบุว่าเหมาะกับลูกอายุเท่าไหร่ แต่จากประสบการณ์ของผมแล้ว ผมอยากให้ Biotoys นี้เป็นของเล่นหลักของลูกมากกว่า 80% ของเวลาที่ลูกตื่นขึ้นมา

ในวัยอายุ 2-3 ปี เป็นช่วงที่สมองของลูกมีการเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ มีเส้นใยประสาทเชื่อมต่อกันมากมาย วัยนี้เป็นวัยที่เหมาะที่จะส่งเสริมกิจกรรมทุกๆ ด้าน กิจกรรมทุกๆ ด้านนี้อาจหมายถึง กีฬา ดนตรี ศิลปะ หรือการเต้นก็ได้ แต่เราก็ไม่สามารถฝืนพื้นฐานของสมองของเขาได้ พื้นฐานสมองของลูกแต่ละคนนี้มีพันธุกรรมเป็นตัวกำหนด เช่น พ่อและแม่เป็นนักดนตรีทั้งคู่ ลูกก็จะมีความสามารถในการเข้าถึงดนตรีเป็นพื้นฐานได้ดีกว่าเด็กอื่น จะมาส่งเสริมให้เขาเป็นนักเทนนิสมืออาชีพก็อาจจะไม่เหมาะสมนัก หรือพ่อและแม่ที่เคยเป็นนักเรียนที่เรียนเก่งมาทั้งคู่ ลูกๆ ก็จะมีพื้นฐานทางด้านการคำนวณและความจำที่ดีกว่าเด็กอื่น จะให้มาฝึกเป็นนักกีฬาอาชีพใดอาชีพหนึ่งก็อาจจะประสบผลสำเร็จยากกว่าการเป็น นักวิทยาศาสตร์ หมอ หรือวิศวกร เป็นต้น

ใน วัยอนุบาล คือ วัยที่มีอายุระหว่าง 3-6 ปี เป็นวัยที่เส้นใยภายในสมองเริ่มลดน้อยลง โดยการลดลงของเส้นใยสมองนี้เป็นไปตามพันธุกรรม เส้นประสาทของครอบครัว ดนตรี ลูกก็จะยังคงมีเส้นใยประสาททางด้านดนตรีอยู่มากมาย ขณะที่เส้นใยประสาทของครอบครัวที่เรียนเก่งก็จะมีการเชื่อมโยงสมองทั้งทาง ด้านความจำและด้านคำนวณคงอยู่จำนวนมาก แต่การฝึกใช้บ่อยๆ ของเส้นใยประสาทแต่ละด้านในวัยนี้ ก็จะช่วยให้มีการคงอยู่มากขึ้นกว่าการไม่ส่งเสริมอะไรเลย เช่น การจะฝึกเล่นกีฬาใดกีฬาหนึ่ง ก็ควรเริ่มฝึกในวัยนี้ ทั้งนี้กีฬาแต่ละชนิดต้องการการคงอยู่ของเส้นประสาทไม่เหมือนกัน เมื่อเริ่มฝึกตั้งแต่วัยนี้ ก็จะมีการคงอยู่ของเส้นประสาทที่จำเป็นต้องใช้ในกีฬาชนิดนั้นอย่างครบถ้วน

คำ ถามที่ถามบ่อยว่า มีอาหารอะไรหรือไม่ที่จะช่วยบำรุงสมองในช่วงเป็นนักเรียนและนักศึกษา มีการโฆษณาสินค้ามากมายหลายชนิดที่พยายามสื่อว่า ถ้ากินเข้าไปแล้วจะช่วยบำรุงสมอง แต่จากการศึกษายังไม่มีอาหารเสริมชนิดใดเลยที่ช่วยบำรุงสมอง การให้การดูแลที่ถูกต้องแก่ลูกก็จะช่วยบำรุงสมองของลูกได้

ขั้นแรกคือ การได้นอนพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน เด็กนักเรียนชั้นประถมในช่วงกลางคืนควรนอนอย่างต่ำคืนละ 10 ชั่วโมง และเมื่อให้ตื่นขึ้น ควรกินข้าวเป็นมื้อเช้า จึงควรให้ความสำคัญแก่ข้าวมื้อเช้ามากๆ ควรฝึกให้ลูกกินข้าวสวยร่วมกับกับข้าวสัก 1-2 อย่างและตามด้วยนมอีก 1 แก้ว ลูกก็จะได้สารอาหารต่างๆ ที่จำเป็นอย่างครบถ้วน และเพียงพอต่อการเรียนหนังสือจนถึงเที่ยงวัน แล้วจึงต่อด้วยอาหารมื้อเที่ยง ลูกก็จะไม่อ่อนล้าเกินไปต่อการเรียน ในช่วงชั้นมัธยมศึกษา ลูกควรนอนอย่างน้อยคืนละ 9 ชั่วโมง และควรกินมื้อเช้าเช่นวัยประถม สมองของลูกก็พร้อมที่จะเรียนหนังสือได้ตลอดวัน

คำ ถามสำคัญสุดท้ายก็คือ อาหารอะไรที่พอจะบำรุงสมองสำหรับผู้ใหญ่หรือคนวัยทำงาน วัยผู้ใหญ่จนถึงวัยชรา จะเริ่มพบผู้ใหญ่หรือคนชราหลายคนที่เริ่มหลงๆ ลืมๆ และบางคนเป็นมากจนลืมทุกอย่างแม้กระทั่งชื่อของตัวเอง ที่เราเรียกว่า โรคอัลไซเมอร์ อาหารที่พอจะช่วยป้องกัน หรือบรรเทาโรคนี้ เห็นจะเป็นกลุ่มที่มี วิตามิน เอ ซี อี และธาตุเซเลเนียม โดยวิตามิน เอ และซี นี้มีมากในผักและผลไม้ จึงควรหมั่นกินเป็นประจำทุกมื้อ ส่วนวิตามิน อี นั้นมีมากในน้ำมันพืชและในไขมันจากสัตว์ แต่มีไม่เพียงพอ ผมจึงขอแนะนำให้ทุกคนกินเสริมวันละ 100 มิลลิกรัม ตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไปเลย และในกรณีที่เริ่มมีอาการหลงๆ ลืมๆ ก็ควรเพิ่มการกินวิตามิน อี เป็นวันละ 200-400 มิลลิกรัม ส่วนธาตุเซเลเนียมนั้นมีมากในเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ตับ และไต จึงควรหมั่นกินอาหารเหล่านี้ เป็นประจำเช่นกัน และอย่าลืมออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกๆ วัน เพื่อให้เลือดได้รับการสูบฉีดไปเลี้ยงสมองอย่างทั่วถึง

ที่ กล่าวมาทั้งหมดนี้อาจจะพอสรุปได้ว่า การบำรุงสมองนั้นประกอบด้วย การพักผ่อนที่เพียงพอ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับการกินอาหารที่มีความหลากหลาย คือ มีเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผัก ผลไม้ และนม ส่วนที่มีการโฆษณาสินค้าต่างๆ มากมายว่าสามารถบำรุงสมองนั้น ก็ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเป็นจริงเลย

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2551

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

โดยคนน่ารัก